ข่าวและกิจกรรม

คณะจิตวิทยาร่วมถวายพวงมาลาและถวายราชสดุดีเนื่องใน “วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”

 

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 คณะจิตวิทยา นำโดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี ร่วมถวายพวงมาลาและถวายราชสดุดีเนื่องใน “วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” ณ พระบรมรูปสองรัชกาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

 

โดยที่ คุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณเวณิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ คณะจิตวิทยา เป็นตัวแทนคณะจิตวิทยา เข้าร่วมพิธีถวายพวงมาลาและถวายราชสดุดีฯ ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สวนลุมพินี

ขอแสดงความยินดีกับ ณฐภัทร โกแมน  นิสิตคณะจิตวิทยา ที่ได้รับรางวัลในการแข่งขันเรือพาย 2025 ACC Asian Championship Hong Kong

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีและภาคภูมิใจกับ นายณฐภัทร โกแมน นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการเข้าร่วมการแข่งขันเรือพายรายการ 2025 ACC SUP Asian Championships and 2025 ACC Canoe Marathon Asian Championships ระหว่างวันที่ 19 – 23 พฤศจิกายน 2568 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และสร้างผลงาน

 

  • เหรียญทอง จากประเภท 200 เมตร Sprint
  • เหรียญทองแดง จากประเภท 10 กิโลเมตร Long Distance
  • เหรียญทองแดง จากประเภท 840 เมตร Technical

 

 

 

 

งาน Let’s Play Festival 2025 

 

Life Di ศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ชวนคุณพ่อคุณแม่คุณลูกมา “เล่น” ด้วยกันในงาน Let’s Play Festival 2025 ระหว่างวันที่ 21–23 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 14.00–20.00 น. ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

เข้าร่วมฟรี! ทุกกิจกรรม

  • นัดหมายให้คำปรึกษาพัฒนาการเด็ก 0–6 ปี โดยนักจิตวิทยาพัฒนาการ
  • มุม DIY Creation Corner – ทำของเล่นจากใจ
  • นักจิตวิทยาชวนเล่น – Wire Bloom, Dough Lab, Dreamy Chain, Windy Spinner
  • Story Armor นิทานเสริม EF
  • Kid Board Game Zone พื้นที่เล่นสำหรับเด็กประถม
    Parent Sharing Wall แลกเปลี่ยนประสบการณ์คุณพ่อคุณแม่

 

เพราะ “การเล่น” คือพลังแห่งการเติบโต

 

กิจกรรม “บุญสุนทาน” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (ครั้งที่ 4)

 

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 คณะจิตวิทยา โดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี คุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณเวณิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เข้าร่วมกิจกรรม “บุญสุนทาน” วาระสำคัญ ตักบาตรพระสงฆ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ เรือนไทยจุฬาฯ

 

กิจกรรมบุญสุนทาน ตักบาตรพระสงฆ์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ จัดทุกวันศุกร์จำนวน 9 ครั้ง ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม 2568 – 9 มกราคม 2569 (ยกเว้นวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2568 และวันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2569) ดำเนินการโดยธรรมสถาน สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ

 

 

 

หลักสูตรนานาชาติ (JIPP) แนะแนวหลักสูตรให้แก่นักเรียนโรงเรียนนานาชาติปัญญาเด่น จ. เชียงใหม่

 

คณะจิตวิทยาหลักสูตรนานาชาติ (JIPP) ได้แนะแนวหลักสูตรให้แก่นักเรียนโรงเรียนนานาชาติปัญญาเด่น จ. เชียงใหม่ โดยมี อาจารย์ ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์ ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาปริชาน เป็นผู้บรรยาย พร้อมทั้งพานักเรียนเยี่ยมชมการให้บริการและสภาพแวดล้อมของคณะจิตวิทยา จุฬาฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา

 

 

ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ – Gratitude

 

Gratitude หมายถึง ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ ยินดี ต่อสิ่งต่าง ๆ ที่บุคคลสัมผัสถึงประโยชน์ สิ่งที่ได้รับ ทั้งจากคน สัตว์ สิ่งของ ธรรมชาติ สิ่งรอบตัว สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางบวกหรือทางลบ เป็นความรู้สึกซาบซึ้งใจ ตระหนักถึงความเชื่อมโยงของตนเองกับบุคคลอื่น รวมทั้งสิ่งต่าง ๆ ข้างต้น

 

การศึกษาอย่างเป็นระบบในเรื่องความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณในบริบททางจิตวิทยาเริ่มต้นอย่างจริงจังช่วงหลังปี ค.ศ. 2000 ในการเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของการศึกษาจิตวิทยาเชิงบวก โดยพบว่า ผู้ที่แสดงออกหรือพูดถึงความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ รู้สึกมีความสุขอย่างมาก หรือค่อนข้างจะมีความสุข และเมื่อมีการศึกษาวิจัยมากขึ้น ผลของการศึกษาแสดงให้เห็นว่า คุณลักษณะของความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณสามารถทำนายสุขภาวะ (well-being) ได้อย่างเฉพาะเจาะจง ระบุสาเหตุได้ และน่าเชื่อถือ

 

 

CU Happiness Inventory (2011) แบ่งความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณไว้ 2 ระดับ คือ

 

  1. การมีความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณให้กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างชั่วคราว เช่น รู้สึกซาบซึ้งใจที่เพื่อนบ้านมีความเอื้อเฟื้อให้กับเราและผู้อื่น รู้สึกขอบคุณที่วันนี้ฉันมีสุขภาพแข็งแรง
  2. การมีความรู้สึกขอบคุณให้กับชีวิตและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ประสบมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เรายังคงระลึกถึงอยู่ตลอดเวลา เช่น รู้สึกขอบคุณอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่หล่อหลอมให้ฉันแข็งแกร่งได้อย่างทุกวันนี้

 

 

Fitzgerald (1988) ระบุองค์ประกอบของความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณได้ 3 องค์ประกอบ ดังนี้

 

  1. Appreciation – ความรู้สึกอบอุ่น ซาบซึ้งต่อบุคคลบางคนหรือต่อวัตถุสิ่งของบางสิ่ง
  2. Goodwill – ความปรารถนาดีต่อบุคคลหรือสิ่งของ
  3. Disposition to act – แนวโน้มที่จะแสดงออกหรือกระทำสิ่งต่าง ๆ ที่มาจากความรู้สึกซาบซึ้งและปรารถนาดี

 

 

 

 

 

Lin (2017) เสนอว่าความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณแบ่งออกได้ 5 แง่มุม ดังนี้

 

  1. Thanking others ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณต่อผู้อื่น นอกจากรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณในตัวบุคคลและในประโยชน์ที่ได้รับมา ยังหมายถึงความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณในคุณค่าและการมีอยู่ของบุคคล ขอบคุณในการที่บุคคลเข้ามามีบทบาทในความสัมพันธ์ เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นอยู่
  2. Thanking godความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณในความลึกซึ้งของจิตวิญญาณ (spiritual) ซึ่งสัมผัสได้ผ่านความรู้สึกว่าตนเชื่อมโยงกับสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งภายในห้วงอารมณ์ เช่น วิวทิวทัศน์ ธรรมชาติ ความเป็นไปของชีวิต การลืมตาดูโลกของเด็กทารกแรกเกิด
  3. Cherishing blessings ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณต่อสิ่งดี ๆ ที่ตนเองได้รับ มองเห็นคุณค่าและยินดีกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แทนที่จะสนใจใฝ่หาถึงสิ่งที่ตนเองขาดหายไป เช่น ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงโอกาสที่ตนเองได้รับ หรือสุขภาพที่ตนเองมีอยู่
  4. Appreciating hardshipความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณต่อประสบการณ์ความยากลำบากในชีวิต ประสบการณ์การรับรู้ว่าตนเองสูญเสีย ประสบการณ์ความทุกข์ยาก หรือการตัดสินใจที่ยากลำบากในชีวิต เนื่องจากประสบการณ์เหล่านั้นล้วนทำให้เรามองเห็นคุณค่าของชีวิต
  5. Cherishing the momentความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณต่อห้วงเวลาปัจจุบันขณะ ด้วยการใช้การมีสติ การตระหนักรู้ในการรับรู้และอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งการระลึกถึงช่วงเวลาที่เรามีอยู่จะทำให้เราเห็นคุณค่าของชีวิต

 

นอกจากนี้ ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณยังสามารถแบ่งออกเป็น สภาวะ (state) และคุณลักษณะ (trait) ได้อีกด้วย
กล่าวคือ สภาวะความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณเกิดขึ้นในการตอบสนองการช่วยเหลือที่ได้รับการตีความว่ามีคุณค่า มีความหมายสำหรับผู้ให้และผู้รับ บุคคลที่ประสบกับความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณบ่อยครั้งในชีวิตจะรู้สึกขอบคุณอย่างมากในสถานการณ์ของการให้ เนื่องจากบุคคลมีความเข้าใจ ตีความเป็นประจำและเป็นนิสัย (habit) ว่าความช่วยเหลือที่ได้รับนั้นมีคุณค่ามีความหมายและมีความจริงใจ กล่าวได้ว่า คุณลักษณะความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณแสดงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องความถี่ และความเข้มข้นของอารมณ์ความรู้สึก รวมถึงขอบเขตในการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณด้วย

 

 

การที่บุคคลมีความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณช่วยให้บุคคลมีสุขภาวะทางจิตที่ดีขึ้น มีความสามารถในการฟื้นพลังมากขึ้น หันกลับมาใส่ใจในประสบการณ์ที่ตนเองพบเจอในชีวิตประจำวันและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น โดยบุคคลที่มีความซาบซึ้งขอบคุณมักมีวิธีการรับมือเชิงบวกต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียดผ่านการขอความช่วยเหลือจากผู้คนรอบตัว อีกทั้งยังส่งเสริมให้บุคคลมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ดียิ่งขึ้น และสามารถเพิ่มแรงจูงใจในการเชื่อมโยงกับผู้อื่นด้วยการส่งต่อสิ่งดี ๆ ที่ตนเองได้รับผ่านการทำพฤติกรรมเอื้อสังคม

 

 

 

ข้อมูลจาก

 

ฐิตาภา ชินกิจการ, ธนิชพร วุฒิลักษณ์ & พูลทรัพย์ อารีกิจ. (2555). การศึกษาการพัฒนาความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณและผลลัพธ์ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง [โครงการวิชาการวิทยาศาสตรบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.SP.2012.43

 

ณัชชานิษฐ์ เงินวิวัฒน์กูล. (2565). ผลของโปรแกรมพัฒนาความเมตตากรุณาต่อตนเองรูปแบบเว็บไซต์ต่อความเมตตากรุณาต่อตนเอง ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ และความสามารถในการฟื้นพลัง ในวัยรุ่น [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2022.1146

 

ข้อดีของการปล่อยให้ลูกเบื่อ: ของขวัญล้ำค่าในยุคแห่งความเร่งรีบ

 

คนเป็นพ่อแม่ล้วนอยากเห็นลูกๆ ของเราทำกิจกรรมที่ “มีประโยชน์” อยู่ตลอด เรามักรู้สึกว่าถ้าลูกนั่งนิ่งๆ หรือบ่นว่า “เบื่อ” นั่นคือเวลาที่สูญเปล่า และเป็นความล้มเหลวของเราที่ไม่ได้จัดเตรียมกิจกรรมที่ดีพอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเบื่อ ไม่ใช่ศัตรูของพัฒนาการ แต่เป็น “ครู” คนสำคัญที่เด็กยุคใหม่แทบไม่เหลือโอกาสได้พบเจอ บทความนี้ อาจารย์จะขอชวนทุกคนมามอง “ข้อดีของการปล่อยให้ลูกเบื่อ” และเหตุผลว่าทำไมการพยายามตอบสนองลูกให้สนุกอยู่ตลอดเวลาจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการส่งเสริมพัฒนาการ

 

1. ผลกระทบเมื่อลูก “ไม่เคยเบื่อ”

 

ในยุคที่เทคโนโลยีและความบันเทิงอยู่แค่ปลายนิ้ว ความเบื่ออาจถูกมองว่าเป็นสภาวะที่ไม่พึงประสงค์ พ่อแม่หลายคนรู้สึกผิดเมื่อเห็นลูกเบื่อ และรีบชวนลูกเล่นหรือพาไปเปลี่ยนบรรยากาศทันที เพราะเราคิดว่าลูกอาจจะกำลัง “หยุดพัฒนา” แต่ความจริงแล้ว การนั่งนิ่ง ๆ เบื่อ ๆ นั้นมีข้อดีต่อสมองและทักษะชีวิตไม่แพ้การทำกิจกรรมอื่น ๆ

 

เมื่อเด็กได้รับความบันเทิงที่รวดเร็วและเข้มข้นตลอดเวลา สมองจะหลั่งสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า โดปามีน (Dopamine) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ระบบรางวัล (Dopamine Reward System) ทำให้เด็กรู้สึกตื่นเต้น สนุกและพอใจ (ผู้ใหญ่อย่างเราก็ได้โดปามีนเวลาได้ทานของอร่อยๆ ดูซีรีส์ หรือได้ไปเที่ยวสนุกๆ เช่นกัน) ปัญหาคือ หากระบบนี้ถูกกระตุ้นมากเกินไปและบ่อยเกินไป จะทำให้ลูกของเรา “ชินชา” กับระดับความสนุกแบบเดิม ๆ และต้องการความสนุกที่มากขึ้น แรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะหายเบื่อ

 

มีงานวิจัยไม่นานมานี้ ศึกษาการพัฒนาสมองของวัยรุ่นเป็นเวลา 3 ปี พบว่าเด็กที่หยิบมือถือมาเช็กโซเชียลมีเดีย (ซึ่งกระตุ้นระบบรางวัลนี้) บ่อยๆ นั้น สมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคาดหวังรางวัลทางสังคม (social rewards) จะมีความไว (hypersensitive) มากขึ้นเรื่อย ๆ (Maza et al., 2023) แสดงถึงความต้องการที่จะ “เติม” ความพึงพอใจที่บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ เด็กจะรู้สึก “ทน” ต่อความสนุกแบบปกติในชีวิตจริงได้น้อยลง (เช่น การอ่านหนังสือ การต่อเลโก้ หรือการพูดคุยสร้างสัมพันธ์) การปล่อยให้ลูกเบื่อ จึงเปรียบเหมือนการ “รีเซ็ต” ระบบรางวัลของสมอง ให้กลับมาสมดุล และชื่นชมความสุขง่าย ๆ ได้ดังเดิม

 

2. ประโยชน์ด่านแรก: ฝึก “ทน” และ “จัดการอารมณ์”

 

ความเบื่อ คือ “ความรู้สึกไม่สบายตัว” (Discomfort) อย่างหนึ่ง ในยุคที่เรามีทรัพยากรเพื่อความบันเทิงมากมาย เด็กและผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบันจึงมีตัวเลือกในการ “หนี” จากความรู้สึกนี้ทันที ต่างกันที่เด็กจะเติบโตมาในยุคที่พวกเขาไม่เคยได้ฝึก อดทน

การปล่อยให้ลูก “นั่งจมอยู่กับความเบื่อ” สักพัก โดยที่พ่อแม่ไม่รีบเข้าไปจัดการ คือการฝึกให้เขาเรียนรู้ที่จะ อดทนต่อความรู้สึกไม่สบายตัว (Tolerate Discomfort) นี่คือบทเรียนแรกและสำคัญที่สุดในการ จัดการอารมณ์ด้วยตัวเอง (Emotional Regulation) เด็กที่ผ่านจุดนี้ได้จะเติบโตเป็นคนที่มีความอดทน (Grit) และมีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Resilience) เมื่อเจอปัญหาที่ยากกว่าความเบื่อในอนาคต

 

 

3. ประโยชน์ด่านที่สอง: ฝึก “แก้ปัญหา” และสร้าง “ตัวตน”

 

เมื่อเด็กทนต่อความรู้สึกเบื่อได้แล้ว ขั้นต่อไปสมองของเขาจะเริ่มทำงานเชิงรุก ความเบื่อจะกลายสภาพจาก “ความรู้สึกแย่” เป็น “โจทย์ปัญหา” ที่ต้องแก้ไข (“ฉันเบื่อ แล้วฉันจะทำอะไรดี?”) นี่คือจุดเริ่มต้นของ วงจรการแก้ปัญหา (Problem-Solving Cycle) ที่เด็กเป็นผู้ริเริ่มเอง เมื่อเด็กสามารถคิดและลุกไปหาสิ่งที่ทำได้สำเร็จ (เช่น ลุกไปวาดรูป ต่อเลโก้ หรือสร้างบ้านจากกล่องลัง) เขาจะได้เรียนรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการหายเบื่อ นั่นคือ “Sense of Agency” หรือความรู้สึกว่า “ฉันทำได้ ฉันจัดการชีวิตตัวเองได้” ความรู้สึกนี้คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-Esteem) ที่แข็งแกร่ง

 

 

4. ประโยชน์ด่านสูงสุด: “ความคิดสร้างสรรค์” และ “การค้นพบตัวตน”

 

เมื่อสมองของเราไม่ได้จดจ่อกับสิ่งเร้าภายนอก (เวลาที่เรารู้สึกเบื่อหรือใจลอย) เครือข่ายสมองส่วนที่เรียกว่า Default Mode Network (DMN) หรือ “เครือข่ายสมองในภาวะปกติ” จะเริ่มทำงาน (Danckert & Merrifield, 2018) เครือข่าย DMN นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคิดทบทวนเรื่องราวของตัวเอง (self-reflection) และการเชื่อมโยงข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกันในสมองให้เกิดเป็นไอเดียใหม่ ๆ หรือความคิดสร้างสรรค์ ไม่เพียงเท่านั้น ในสภาวะ DMN นี้เองที่เด็กจะได้หันกลับมาถามคำถามสำคัญกับตัวเองว่า “แล้วเรา…อยากทำอะไรล่ะ” นี่คือจุดเริ่มต้นของการค้นพบ “ความชอบที่แท้จริง” ของตัวเอง ไม่ใช่ความชอบที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยสิ่งภายนอก เด็กที่รู้จักตัวเอง จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่เลือกทางเดินชีวิตได้สอดคล้องกับตัวตน

 

 

5. บทบาทพ่อแม่คือการเตรียมเครื่องมือ มิใช่แก้ปัญหา

 

อย่างไรก็ตาม การที่รอให้ลูกเบื่อแล้วบอกว่า “ลองคิดดูว่าจะทำอะไรแก้เบื่อ” อาจจะไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการฝึกทักษะนี้ให้กับลูก นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาที่รู้สึกเบื่อ สมองส่วนคิดวิเคราะห์หรือการวางแผน (Prefrontal Cortex) จะอยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมทำงาน สิ่งที่เราทำได้คือ “เตรียมเครื่องมือ” ให้เขาตั้งแต่ก่อนจะเบื่อ โดยการชวนลูกคุยในเวลาที่อารมณ์ดี (ก่อนเบื่อ) เพื่อช่วยกันคิดหากิจกรรมที่ลูกสามารถทำได้ด้วยตัวเองเตรียมไว้ และจดรายการเหล่านั้นไว้เป็น “แคตตาล็อกแก้เบื่อ” (Boredom Catalogue) สำหรับเปิดดูเตือนความจำเวลาต้องใช้งานจริง

 

ตัวอย่างในแคตตาล็อกอาจเช่น:

  • อ่านหนังสือการ์ตูนเล่มเก่า
  • เล่นบอร์ดเกมส์กับพ่อแม่
  • วาดรูปที่ตัวเองชอบ
  • นึกถึงการ์ตูนโปรดของตัวเองและแต่งตอนเรื่องต่อเองตามใจชอบ
  • ออกไปขี่จักรยาน
  • ประดิษฐ์สิ่งของใช้เอง

 

หากลูกของเรายังอ่านหนังสือไม่ออก พ่อแม่อาจใช้วิธีวาดรูป หรือหารูปจากอินเตอร์เน็ตที่สื่อถึงกิจกรรมนั้นมาแปะไว้ให้น้องแทนก็ได้ เมื่อลูกบ่นว่าเบื่อครั้งต่อไป แทนที่เราจะเสนอทางออก เราเพียงเตือนเขาว่า “เรามีแคตตาล็อคแก้เบื่ออยู่นะ” ให้เราชี้ไปที่แคตตาล็อกนั้น เพื่อให้เขาเป็นคน “เลือก” และ “เริ่ม” ด้วยตัวเอง โดยมีเราเป็นผู้ร่วมสนับสนุนให้สิ่งที่เขาคิดเกิดขึ้นได้จริง

 

 

โดยสรุป ความเบื่อไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินที่พ่อแม่ต้องรีบแก้ไข แต่เป็นช่วงเวลา “พัก” ที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อพัฒนาการ ทั้งด้านสมอง (DMN) และจิตใจ (Emotional Regulation) มันคือโอกาสทองที่เปิดให้เด็กรู้จักตัวเอง ฝึกความอดทน สร้างความมีตัวตน และปลุกจินตนาการให้ทำงาน หน้าที่ของเราคือการ “อดทน” ที่จะปล่อยให้ลูกได้เบื่อ และเชื่อมั่นว่าสมองของเขากำลังทำงานเพื่อให้ตัวเองพัฒนาไปในขั้นต่อไปได้

 

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Danckert, J., & Merrifield, C. (2018). Boredom, sustained attention and the default mode network. Experimental Brain Research, 236(9), 2507–2518. https://doi.org/10.1007/s00221-016-4617-5

 

Mann, S., & Cadman, R. (2014). Does being bored make us more creative? Creativity Research Journal, 26(2), 165–173. https://doi.org/10.1080/10400419.2014.901073

 

Maza, M. T., Fox, K. A., Kwon, S. J., Flannery, J. E., Lindquist, K. A., Prinstein, M. J., & Telzer, E. H. (2023). Association of habitual checking behaviors on social media with longitudinal functional brain development. JAMA Pediatrics, 177(2), 160–167. https://doi.org/10.1001/jamapediatrics.2022.4924

 

 

 


 

 

 

บทความโดย

อาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ

 

อคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศ – Transgender Prejudice

 

กลุ่มคนข้ามเพศ (transgender) คือกลุ่มบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) ไม่สอดคล้องกับเพศสรีระ (sex) หรือเพศที่ถูกกำหนดแต่กำเนิด (เพศตามสูติบัตร) โดยไม่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย แต่ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นนิยามตนเองอย่างไร เช่น บุคคลที่มีเพสสรีระเป็นชาย แต่นิยามตนเองว่ามีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นหญิง จะจัดเป็นหญิงข้ามเพศ (transwomen)

 

แม้ในปัจจุบันลักษณะทางสังคมจะเปิดกว้างและยอมรับในอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากการที่กลุ่มคนข้ามเพศมีบทบาทในส่วนต่าง ๆ ของสังคม ทั้งในด้านธุรกิจ สื่อโทรทัศน์ หรือการเมืองการปกครอง แต่อคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศยังคงปรากฏให้เห็นในรูปแบบของการเลือกปฏิบัติและการปฏิเสธการสนับสนุนในสิทธิบางประการที่กลุ่มคนข้ามเพศควรจะได้รับ ในขณะที่ความเกลียดกลัวที่มีต่อคนข้ามเพศ (transphobia) นั้นถูกแสดงออกลดลง

 

 

อคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศ หมายถึง การให้ค่าเชิงลบ การเหมารวม และการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่แสดงออกถึงอัตลัษณ์ทางเพศที่ไม่เป็นไปตามกรอบกำหนดของสังคมแวดล้อมในปัจจุบันของบุคคลนั้น นักวิจัยส่วนมากมักใช้แทนความเกลียดกลัวต่อคนข้ามเพศ – transphobia ซึ่งมีลักษณะเป็นเจตคติเชิงลบที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศเช่นเดียวกัน ทว่าการศึกษาส่วนมากในปัจจุบันมีแนวโน้มในการแยกสองคำนี้ออกจากกัน เนื่องจากระดับของความรุนแรงของการปฏิบัติต่อคนข้ามเพศที่แตกต่างกัน โดยความเกลียดกลัวต่อคนข้ามเพศนั้นมีลักษณะเป็นการกีดกัน กลั่นแกล้ง และความไม่สบายใจในการอยู่ในสังคมร่วมกับกลุ่มคนข้ามเพศ ขณะที่การศึกษาบางส่วนชี้ให้เห็นว่า “อคติ” ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลมีต่อตัวตนของกลุ่มคนข้ามเพศ แต่มีลักษณะเป็นความไม่สะดวกใจต่อการรับรู้อัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลอื่นที่ไม่เป็นไปตามการแบ่งสองขั้วที่ปลูกฝังกันมาภายในสังคม (dichotomous notions of sex)

 

โดยทั่วไปแล้วอคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศนั้นมีลักษณะเป็นความคิดเชิงลบต่อบุคคลซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้นอย่างปัจจุบัน จึงทำให้ผู้คนส่วนมากมีการปรับแนวคิดและพฤติกรรมเหล่านั้นให้มีการแสดงออกน้อยลงหรือลดความรุนแรงของอคติเหล่านั้น แต่ถึงแม้พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับอคติเปล่านั้นจะลดลง ผู้คนจำนวนมากก็ยังคนปรากฎแนวคิดทางลบเหล่านั้นในรูปแบบของความอ่อนไหวและอคติเชิงลึกต่อกลุ่มคนดังกล่าวอยู่ เช่น การเมินเฉยต่อการเรียกร้องสิทธิของกลุ่มคนข้ามเพศ หรือการปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงการระบุเพศของกลุ่มคนข้ามเพศให้ตรงกับเพศภาวะ (gender) ไม่ให้เพศสรีระ

 

 

 

 

 

มิติของอคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศ

การศึกษาของ Davidson ปี 2014 ได้จำแนกมิติของอคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศออกเป็น 2 มิติ คือ การให้ความสำคัญในเรื่องเพศสรีระ (sex essentiality) และความไม่สะดวกใจ (discomfort) อันเป็นพฤติกรรมการแสดงออกสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอคติดังกล่าว และเกิดเป็นการพัฒนาแบบวัด Transgender Prejudice Scale ขึ้น โดยมีลักษณะสอดคล้องกับสังคมปัจจุบันที่มีการลดความรุนแรงของการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่อต้านคนข้ามเพศ และเจคติเหล่านั้นปรากฏขึ้นในรูปแบบที่เป็นเพียงความคิดเห็นและการไม่สนับสนุนมากกว่าในอดีต

 

  1. การให้ความสำคัญในเรื่องเพศสรีระ (sex essentiality) – ความเชื่อว่าโครโมโซมเพศคือสิ่งที่เป็นตัวกำหนดเพศของบุคคล ทุกคนถูกกำหนดเพศตั้งแต่เกิดจากปัจจัยทางชีววิทยาและเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จนกระทั่งหมดอายุขัย
  2. ความไม่สะดวกใจ (discomfort) – ความรู้สึกเชิงลบที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องอยู่ร่วมหรือกระทำบางสิ่งกับกลุ่มคนข้ามเพศ

 

 

ผลของอคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศ

 

นับแต่อดีตมา เจตคติทางลบที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศหรือกลุ่มคนที่แสดงอัตลักษณ์ทางเพสแตกต่างจากกรอบกำหนดของเพสสรีระ ถูกรายงานว่าส่งผลเสียต่อกลุ่มคนที่ได้รับเจตคติดังกล่าวไม่ว่าจะในรูปแบบของการกีดกัน การเลือกปฏิบัติ การดูหมิ่น หรือแม้แต่การถูกทำร้ายด้วยความรุนแรง คนข้ามเพศบางส่วนต้องเผชิญกับการแบ่งแยก อคติ และการปฏิเสธการสนับสนุนทางสังคมที่ควรได้รับ จนเกิดเป็นความวิตกกังวล ความเครียด และความหวาดกลัวเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเอง อคติดังกล่าวไม่เพียงสร้างการกีดกันกลุ่มคนข้ามเพศ หากยังเป็นการตีตรา (stigma) และเหมารวมกลุ่มคนที่แสดงอัตลักษณ์ทางเพศผิดจากเพศสรีระ ส่งผลให้เกิดการลดคุณค่าในตนเอง การดูหมิ่นตนเอง และการเมินเฉยต่อการดูแลตนเอง ทั้งทางด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต

 

กลุ่มประชากรผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายเหล่านี้มักตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมความรุนแรงจากคนใกล้ชิดหรือคนรู้จักเป็นส่วนใหญ่ อันมีผลมาจากการกล่อมเกลาทางสังคมที่ปลูกผังกันมานับแต่อดีตเกี่ยวกับความรู้สึกเกลียดกลัวคนข้ามเพศและบุคคลที่แสดงออกทางเพศไม่ตรงกับขนบธรรมเนียมเดิมของสังคม และกลับกลายเป็นอคติเชิงลบที่มีต่อเพศสภาพและเพศวิถีของผู้คนในสังคม

 

การสำรวจในประเทศไทยโดยศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว ปี 2022 แสดงให้เห็นว่าเยาวชนในกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลาย ได้รายงานถึงปัญหาสุขภาพจิตที่มากกว่ากลุ่มเยาวชนที่อัตลักษณ์ทางเพศเป็นไปตามบรรทัดฐานของสังคม จากการได้รับประสบการณ์การคุกคามทางร่างกายและจิตใจที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอ ระราน การถูกทำร้ายหรือลงโทษ รวมไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มเยาวชนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศตามบรรทัดฐานของสังคมถึงหนึ่งเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มหญิงข้ามเพศที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่ไม่ตรงกับความคาดหวังของสังคม ก็มีแนวโน้มถูกคุกคามทางเพศอย่างเปิดเผยด้วยพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การจ้องมองลวนลาม และการคุกคามด้วยคำพูด

 

อคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศนี้นอกจากส่งผลเสียกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวโดยตรงแล้ว ยังส่งผลเสียต่อคุณภาพความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และความเสี่ยงในการจบชีวิตตนเองอันเนื่องมาจากภาวะซึมเศร้า ความทุกข์ทางจิตใจ และการตกเป็นเหยื่อทางเพศที่ผ่านทั้งคำพูดและการกระทำ กลุ่มคนข้ามเพศยังมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงการเข้ารับบริการทางสุขภาพจากความหวาดกลัวในการถูกตีตรา และเป็นผลให้ไม่ได้รับการดูแลรักษาในอาการเจ็บป่วยทางกายและทางสุขภาพจิตอย่างที่ควรจะเป็นอีกด้วย

 

อคติต่อกลุ่มคนข้ามเพศยังส่งผลให้สังคมคอยตั้งคำถามและกล่าวโทษต่อเหตุการณ์ร้ายที่คนกลุ่มนี้ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวโทษไปที่พฤติกรรม การแต่งกาย ตลอดจนสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนและหลังเหตุการณ์ร้าย ล้วนเป็นการกล่าวโทษและกรีดซ้ำบาดแผลของกลุ่มคนข้ามเพศที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในทุกรูปแบบ

 

 


 

 

 

ข้อมูลจาก

บุณยาพร อนะมาน. (2567). การกล่าวโทษเหยื่อ: อิทธิพลของความเชื่อเรื่องโลกมีความยุติธรรม โดยมีอคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศและการยอมรับมายาคติของการข่มขืนที่ถูกนำเสนอโดยสื่อเป็นตัวแปรส่งผ่าน [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2024.593

 

กิจกรรม “บุญสุนทาน” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (ครั้งที่ 3)

 

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 คณะจิตวิทยา โดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี คุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณเวณิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เข้าร่วมกิจกรรม “บุญสุนทาน” วาระสำคัญ ตักบาตรพระสงฆ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ เรือนไทยจุฬาฯ

 

กิจกรรมบุญสุนทาน ตักบาตรพระสงฆ์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ จัดทุกวันศุกร์จำนวน 9 ครั้ง ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม 2568 – 9 มกราคม 2569 (ยกเว้นวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2568 และวันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2569) ดำเนินการโดยธรรมสถาน สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ

 

 

 

Special Talk: Hope, Mindfulness, and Well-Being in Thailand and the United States

 

The East-West Psychological Research Center invites you to a special talk by Prof. Dr. David B. Feldman, psychologist, professor, author, and developer of Hope Therapy.
  • Friday, November 21 | 1:00–2:00 PM
  • Room 407, Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

Topic: Hope, Mindfulness, and Well-Being in Thailand and the United States

Discover how hope and mindfulness intertwine across cultures—and what that means for our well-being.
Open to all faculty, students, and guests!