
คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับอาจารย์และบุคลากรของคณะที่ได้รับรางวัลในพิธียกย่องเชิดชูเกียรติบุคลากรแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2567 ในวันที่ 3 เมษายน 2567 ณ หอประชุมจุฬาฯ
ศาสตราจารย์ ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยา
จากการรับรางวัล “The CEHD Distinguished Alumni Award” โดย College of Education an Human Development, University of Minnesota ประเทศสหรัฐอเมริกา
ดร.วนัสนันท์ กันทะวงศ์ บุคลากรสายปฏิบัติการคณะจิตวิทยา
จากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก เรื่อง การฟอกเขียวด้วยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย (Greenwashing by carbon credit trading in Thailand) ในสาขาวิชาอาชญาวิทยาและงานยุติธรรม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ฝ่ายวิรัชกิจ คณะจิตวิทยา เชิญชวนนิสิตคณะจิตวิทยาในทุกหลักสูตร (ตรี-โท-เอก) เปิดประสบการณ์การเป็นนิสิตแลกเปลี่ยน (exchange student) กับมหาวิทยาลัยพันธมิตรชั้นนำของโลกในหลายภูมิภาค ทั้งในญี่ปุ่น (Japan) ฮ่องกง (Hong Kong) อินโดนีเซีย (Indonesia) และสหรัฐอเมริกา (USA) โดยนิสิตสามารถไปแลกเปลี่ยนได้ 1-2 ภาคการศึกษา และสามารถโอนหน่วยกิตกลับมาทางจุฬาฯ ได้
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อฝ่ายวิรัชกิจ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ที่ ramon.p@chula.ac.th
![]() |
![]() |
![]() |
ขอเชิญนิสิตจุฬาฯ ทุกชั้นปี เข้าร่วมกิจกรรม Plant Myself ดูแลสุขภาพใจให้แข็งแรง
ดำเนินกิจกรรมโดย นักจิตวิทยาการปรึกษาฝึกประสบการณ์ ศูนย์สุขภาวะทางจิต
** นิสิตจุฬาฯ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย **
ในโลกที่วุ่นวาย ชวนทุกคนกลับมาพักกาย พักใจ และมีสติอยู่กับปัจจุบัน ด้วยกิจกรรมจัดสวนจิ๋ว (Terrarium)
จัดโดย: คุณพิริยะ พิริปุญโญ (พี่จุ๊) และทีมพี่ ๆ นักจิตวิทยาการปรึกษาฝึกประสบการณ์ ศูนย์สุขภาวะทางจิต
วันและเวลา: วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน 2567 เวลา 17.00 – 19.00 น.
สถานที่: ณ ห้อง 301 อาคารจุฬาพัฒน์ 5 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เปลี่ยนเถ้าถ่านในใจให้กลายเป็นไฟที่ลุกโชน
จัดโดย: คุณธนพล แสนจักร์ (พี่บอม) และทีมพี่ ๆ นักจิตวิทยาการปรึกษาฝึกประสบการณ์ ศูนย์สุขภาวะทางจิต
วันและเวลา: วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2567 เวลา 17.00 – 19.00 น.
สถานที่: ณ ห้อง 301 อาคารจุฬาพัฒน์ 5 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
If you can’t look for the sunshine, I will sit with you in the dark.
จัดโดย: ณัฐฐา นิตยะประภา (พี่เกรท) และทีมพี่ ๆ นักจิตวิทยาการปรึกษาฝึกประสบการณ์ ศูนย์สุขภาวะทางจิต
วันและเวลา: วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2567 เวลา 17.00 – 19.00 น.
สถานที่: ณ ห้อง 301 อาคารจุฬาพัฒน์ 5 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการตระหนักรู้ และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก ทั้งของตนเองและผู้อื่น รวมถึงการจัดการและการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง ส่งผลต่อความสำเร็จในการปรับตัว
Goleman (1995) ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับความฉลาดทางอารมณ์ว่าประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบที่สำคัญคือ
นอกจากนี้ Bar-on (2006) ได้เสนอองค์ประกอบของความฉลาดทางอารมณ์ โดยแบ่งออกเป็น 5 ด้าน 15 คุณลักษณะ ดังนี้
1. พันธุกรรมหรือพื้นอารมณ์ – แต่ละคนมีบุคลิกและพื้นอารมณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดแตกต่างกัน จากพันธุกรรมและภาวะความเครียดของแม่ในขณะตั้งครรภ์ หากบุคคลมีพื้นอารมณ์ดี ก็เปรียบได้กับมีพื้นที่แข็งแรงสามารถรองรับแรงกระแทกได้มาก
2. สภาพแวดล้อมและการอบรมเลี้ยงดู – การเป็นแบบอย่างและการสอนถึงทักษะทางอารมณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมกับเด็ก ด้วยบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย สมาชิกครอบครัวมีความไว้วางใจกัน มีการสื่อสารที่เปิดเผย รับฟัง ไม่ทำร้ายจิดใจกัน ให้การสนับสนุนและกำลังใจ เหล่านี้จะช่วยพัฒนากล่อมเกลาและควบคุมพื้นอารมณ์ด้านลบ และส่งเสริมพื้นอารมณ์ด้านบวกได้
3. การศึกษา – ครูอาจารย์มีบทบาทที่สำคัญในการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีในโรงเรียน เป็นประชาธิปไตย มีอิสระ ให้ความเคารพและรับฟัง ฝึกฝนเรื่องการเอื้ออาทรผู้อื่น ระมัดระวังคำพูดและอารมณ์ของตนเอง ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจ บริหารจัดการภาวะอารมณ์ของตนเองได้
4. อายุ – ความฉลาดทางอารมณ์สามารถพัฒนาได้และเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต ตามวุฒิภาวะและประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้
5. ความแตกต่างระหว่างเพศ – มีงานวิจัยพบว่า ระดับความฉลาดทางอารมณ์ของเพศชายและหญิงไม่แตกต่างกัน แต่มีความแตกต่างในบางองค์ประกอบ เช่น เพศหญิงมีทักษะระหว่างบุคคลมากกว่า จะตระหนักในอารมณ์ทั้งของตนเองและผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ดี และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่า ส่วนเพศชายจะมีความนับถือตนเอง มีความเป็นอิสระ มีความสามารถในการแก้ปัญหา รู้จักยืดหยุ่น รับมือกับความเครียดได้ดี และมองโลกในแง่ดีกว่า
นอกจากนี้ ความฉลาดทางอารมณ์ยังมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างและหน้าที่ของสมองส่วนต่าง ๆ ด้วย โดยเฉพาะสมองซีกขวา ซึ่งรับผิดชอบในเรื่องการรับรู้โดยภาพรวมในเชิงมิติสัมพันธ์ การคิดเป็นภาพ คิดคาดคะเนอารมณ์ สีหน้า ความรู้สึก คิดโดยประมวลสิ่งเร้าต่าง ๆ พร้อมกัน ศิลปะ ภาพสัญลักษณ์ ความสุนทรีย์ คิดรับรู้จินตนาการในลักษณะของความคิดสร้างสรรค์ คิดแบบทันทีทันใด และญาณหยั่งรู้เรื่องของจิตใจ
นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งสมองเป็น 3 ขั้นตามลำดับความซับซ้อนในการทำงาน ได้แก่ ชั้นในสุด เรียกว่า Reptilian ซึ่งเกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ, สมองส่วนกลาง ที่มี Amygdala ซึ่งเป็นศูนย์กลางการรับรู้ ตอบสนองต่ออารมณ์โกรธ กลัว โดยส่งผลต่อการทำงานของสมองชั้นนอกสุด, สมองชั้นนอกสุด เรียกว่า Neocortex ซึ่งทำหน้าที่คิด รับรู้ พูด และวางแผน
พัฒนาการทางอารมณ์และสมองมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หากสมองได้รับความเสียหาย กระบวนการคิด การตัดสินใจ การตอบสนองทางอารมณ์ และการแสดงออกต่างๆ ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
“ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับการปรับตัวในมหาวิทยาลัยของนิสิตชั้นปีที่ 1” โดย ณัฐวุฒิ ศรีวัฒนาวานิช และ มินตรา ศรศิริ (2554) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47863
“การเปรียบเทียบความฉลาดทางอารมณ์และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเสพติดของผู้ป่วยยาเสพติดในสถาบันธัญญารักษ์” โดย วรรณิศา แสงแย้ม (2551) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47575
Bar-On, R. (2006). The Bar-On model of emotional-social intelligence (ESI) 1. Psicothema, Retrieved from http://www.psicothema.com/pdf/3271.pdf
เนื่องในโอกาสครบรอบ 107 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะจิตวิทยา นำโดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา คุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณเวณิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ร่วมทำบุญตักบาตรและวางพานพุ่มถวายสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า บริเวณหน้าหอประชุมจุฬาฯ เมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคม 2567
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มี.ค. 2567 ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เข้ารับโล่รางวัล “จิตบำเพ็ญ” สาขาจิตวิทยา จากสมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ณ ห้องประชุมสถาบันจิตวิทยาความมั่นคง สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ
รางวัลนี้มอบให้กับผู้ที่ได้บำเพ็ญประโยชน์ด้านจิตวิทยาและส่งเสริมสนับสนุนโครงการด้านจิตวิทยาสู่สังคม
We extend our gratitude to Dr. Plamen for his engaging and insightful talk. A special thank you to all attendees participating, sharing questions, and contributing thoughts to the discussion. We anticipate reconnecting with you at our next activity.
หลายต่อหลายครั้งที่คำพูดของบุคคลอื่นทำให้เราต้องรู้สึกเจ็บปวดหรือทุกข์ใจ แต่เช่นกันที่หลายครั้งความเจ็บปวดเหล่านั้นถูกทำให้กลายเป็น “ความอ่อนไหว” ของเราแต่เพียงฝ่ายเดียว
คำพูดเหล่านี้หลายครั้งเป็นคำพูดที่คุ้นหู แต่กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกผิดได้อย่างง่ายดายทั้งที่ในบางครั้งผู้ฟังไม่ได้ทำความผิดอะไรแม้แต่อย่างเดียว แต่กลับต้องยอมรับและคล้อยตามเพราะความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้น ราวกับตนเองทำให้ผู้พูดเป็นฝ่ายเจ็บช้ำใจและตนเองเป็นคนผิดในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
การตั้งคำถาม หรือการหาเหตุผลสนับสนุนเพื่อให้ผู้อื่นคล้อยตามว่าเป็นฝ่ายผิดในเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Guilt Trip” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการชักจูงทางจิตวิทยาหรือ Emotional Manipulation ที่บุคคลอาจใช้เพื่อครอบงำทางความคิดและพฤติกรรมของบุคคลอื่นเพื่อผลประโยชน์บางประการของตนเอง Guilt Trip นี้เป็นหนึ่งในวิธีการที่เป็นที่นิยมในการใช้ควบคู่กันไปกับ Gaslighting เพื่อทำให้คนคนหนึ่งสงสัยในการกระทำของตนเองและรู้สึกว่าการกระทำนั้นทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด หลายต่อหลายครั้งที่การควบคุมจิตใจเหล่านี้ทำให้บุคคลต้องยอมลดความสำคัญของความรู้สึกของตนเอง เพื่อใส่ใจและทุ่มเทให้กับผู้ที่แสดงตนว่าเจ็บปวดนั้นแทน
ในความเป็นจริง ทริคทางจิตวิทยาทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในการชักจูงทางจิตใจเช่นเดียวกัน และมักเกิดขึ้นควบคู่กันเพื่อให้ได้ผลการชักจูงตามที่ฝ่ายควบคุมต้องการ โดย Gaslighting เป็นการลดทอนความรู้สึกของบุคคล ทำให้บุคคลมีความคิดว่าความรู้สึกของตนเอง หรือประสบการณ์ของตนเองนั้นเป็นเพียงเรื่องอ่อนไหวของตนเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญมากมายไปกว่าความรู้สึกของผู้ที่ควบคุมความสัมพันธ์นั้นอยู่ ในขณะที่ Guilt Trip เป็นการกดดันทั้งทางอารมณ์ คำพูด หรือการกระทำเพื่อให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายที่ทำให้ผู้ควบคุมนั้นต้องเสียใจ หรืออาจเป็นฝ่ายที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ ดังนั้น Guilt Trip จึงมักเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ที่มีความใกล้ชิด หรือความสัมพันธ์ที่ส่งผลทางอารมณ์ของบุคคลได้ง่าย เช่น ครอบครัว เพื่อนสนิท คนรัก หรือความสัมพันธ์บางรูปแบบที่ต้องอาศัยความรู้สึกร่วมของบุคคล เช่น ศิลปินและแฟนคลับ
เพราะความรู้สึกผิด เป็นหนึ่งในความรู้สึกที่มีพลังในการชักจูงพฤติกรรมของบุคคลไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกอื่น ๆ ในบางครั้งเมื่อเรารู้สึกว่าเราทำผิด หรือทำให้ผู้อื่นเสียใจโดยเฉพาะคนที่มีความสำคัญกับเรา เราย่อมอยากที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ หายโกรธ หรือรู้สึกดีขึ้นจากความเสียใจนั้น หลายครั้งที่ความสนิทสนมทำให้บุคคลรู้สึกว่ายิ่งต้องให้ความสนใจในความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น นั่นอาจเป็นโอกาสให้ฝ่ายควบคุมในความสัมพันธ์ใช้ทริคเหล่านี้เพื่อทำให้คนคนหนึ่งยอมทำตามสิ่งที่ตนต้องการได้ โดยการ Guilt Trip นั้น อาจพบเจอได้ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
คือการใช้ความสัมพันธ์มาเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างแรงกดดันทางจิตใจและอารมณ์ เป็นการบีบบังคับอีกฝ่ายทางอ้อมด้วยอำนาจบางอย่างในความสัมพันธ์ และทำให้อีกฝ่ายต้องจำยอมเพราะไม่อยากเสียความสัมพันธ์นั้นไป เช่น การโน้มน้าวให้มีเพศสัมพันธ์ด้วยการอ้างความเป็นคนรัก การบังคับให้โดดเรียนไปด้วยกันเนื่องจากเป็นเพื่อนกัน เป็นต้น
คือการใช้การหลีกเลี่ยงการพูดคุยหรือกล่าวถึงปัญหาในเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลีกเลี่ยงที่จะสำรวจถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจของอีกฝ่ายและปล่อยให้ปัญหานั้นยังคงค้างคาในความรู้สึกของอีกฝ่ายไป จนกระทั่งฝ่ายที่เกิดความเจ็บปวดนั้นรู้สึกว่าความเจ็บปวดของตนไม่ได้มีความสำคัญ เช่น ใช้ความเหน็ดเหนื่อยจากงานมาเป็นข้ออ้างในการเลี่ยงการพูดคุย “แค่นี้ก็เหนื่อยมากลแล้ว อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้ได้ไหม?” หรือ “ทำงานมาเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ยังต้องมาเถียงกันเรื่องนี้อีกเหรอ?” เป็นต้น
คือการพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมหรือแนวคิดของอีกฝ่ายให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ โดยการพยายามทำให้สิ่งที่อีกฝ่ายทำกลายเป็นเรื่องผิด และแสดงออกว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่เป็นเรื่องถูกต้อง เช่น การบอกคนอื่นว่าแม้จะทำงานเสร็จเร็วก็ห้ามกลับก่อน เพราะตนยังรอกลับพร้อมคนอื่นได้ หรือ ในตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันยังอดทนกับเรื่องเหล่านี้ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วปัจจัยในชีวิตของแต่ละคนและสภาพแวดล้อมหรือสังคมที่แต่ละคนต้องเผชิญก็มีความแตกต่างกันออกไป
คือการพยายามใช้ความรู้สึกสงสาร ความเห็นอกเห็นใจเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ทำให้ตนเองต้องเจ็บปวด ไม่ว่าจะในรูปแบบของการทำร้ายตัวเองเพื่อรั้งให้อีกฝ่ายยังคงรักษาความสัมพันธ์ไว้ หรือการใช้คำพูดเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าหากตนเองจากไป จะทำให้ฝ่ายควบคุมต้องสูญเสียอย่างมาก หรืออยู่ไม่ได้หากไม่มีตน ซึ่งการกระทำเหล่านี้ มักเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์เป็นพิษ (Toxic Relationship) ตามมาได้
เราอาจเจอกับสิ่งเหล่านี้ ที่บุคคลอื่นกำลังพยายามทำให้เรารู้สึกผิดไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เช่น
ประโยคที่ว่า “ฉันไม่ได้อ่อนไหว คุณต่างหากที่ทำเกินไป” เป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งของจิตแพทย์หญิงชาวเกาหลีใต้ ยูอึนจ็อง ที่จะพาผู้อ่านไปสังเกตพฤติกรรมของคนที่ชอบล้ำเส้นอารมณ์ของผู้อื่น รวมไปถึงวิธีการสร้างความมั่นคงทางจิตใจเพื่อสร้างขอบเขตทางอารมณ์ (Boundary) ที่แข็งแกร่ง ไม่ให้ใครหรือสิ่งใดมาทำร้ายความรู้สึกของเราได้ง่าย ๆ และไม่ปล่อยให้ตัวเองทำร้ายความรู้สึกของใครเช่นเดียวกัน โดยวิธีการรับมือกับ Guilt Trip นั้น อาจจะทำได้ง่ายหรือยากขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ของบุคคล แต่ก็มีวิธีการคร่าว ๆ ให้ได้ลองฝึกฝนกันดังนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการไม่ลืมว่าเราทุกคนต่างเป็นตัวของตัวเอง มีความรู้สึกของตัวเอง อย่าปล่อยให้ใครมาลดความสำคัญของความรู้สึกของเรา และอย่าไปก้าวล้ำความรู้สึกของใคร การเคารพในความรู้สึกของกันและกัน เปิดใจพูดคุยและเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กัน คือพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีต่อจิตใจนะคะ
กรุงเทพธุรกิจ. (2023). ไม่ใช่คนผิด แต่ดันรู้สึกผิด เมื่อ “การชักจูงทางจิตวิทยา” กระทบใจวัยทำงาน. https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1071758
PsychCentral. (2022). Why the ‘Guilt Trip’ Comes Naturally (but Can Be Problematic). https://psychcentral.com/health/guilt-trip
Talk Your Heart Out. (2022). Guilt-tripping: Definition, Signs, Examples, and How to Respond. https://talkyourheartout.com/guilt-tripping/
Urban Creature. (2022). มนุษย์ออฟฟิศอ่าน 5 หนังสือพักจากงานที่เหมาะอ่านในวันหยุด. https://urbancreature.co/books-for-office-worker/
บทความโดย
บุณยาพร อนะมาน
นักจิตวิทยาประจำศูนย์จิตวิทยาเพื่อประสิทธิภาพองค์กร (PSYCH-CEO)