







เพื่อฉลองวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) ที่ตรงกับวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี มูลนิธิสติแอพ ร่วมกับ TIMS : สถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต, กรุงเทพมหานคร, Maybelline New York, มูลนิธิเพื่อคนไทย, สสส., ThaiPBS และ Samyan Mitrtown จัดงาน Better Mind Better Bangkok 2024 ขี้น ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา ณ สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น 3
ภายในงานประกอบด้วยเวทีเสวนา 4 เวที ภายใต้ธีม L.O.V.E ได้แก่

วิทยากร
วิทยากร
วิทยากร
วิทยากร
รับชมไลฟ์ย้อนหลัง
https://www.facebook.com/satiapp/videos/1077876293924377/
นอกจากเวทีเสวนาทั้ง 4 แล้ว ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ
ภาพบรรยากาศในงาน
TIMS : สถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต
สรุปเนื้อหาย่อยง่าย จากการพูดคุยบนเวทีเสวนาในงาน
คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ คุณปฏิภาณ ตาคำ นิสิตปริญญาโทแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ พร้อมด้วย รศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ และ ศ.พิเศษ ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต อาจารย์ที่ปรึกษา ที่ได้รับรางวัล “การนำเสนอผลงานวิจัยแบบบรรยาย ระดับดีเด่น” (เรื่อง ผลของการฝึกสติที่มีต่อสัมฤทธิผลในการเรียนคีย์บอร์ดขั้นต้นของเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 3) ในการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักสูตรและการสอน ประจำปี 2567 เมื่อวัน 28 กันยายน 2567 ณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ในปัจจุบัน เรามักได้ยินการกล่าวถึงบุคลิกภาพแบบอำนาจนิยมกัน ในทางจิตวิทยาสังคมมีคนศึกษาบุคลิกภาพอำนาจนิยมกันมากในต่างประเทศ ในช่วงราวปี 1950 เรามาดูกันนะคะว่า บุคลิกภาพแบบอำนาจนิยมมีลักษณะอย่างไร
บุคลิกภาพแบบอำนาจนิยม (Authoritarian personality) เป็นลักษณะบุคลิกภาพที่มีแนวโน้มเชื่อฟังและยอมรับอำนาจที่เป็นทางการ หรือผู้ที่มีอำนาจในสังคม มักจะมีความเชื่อที่เข้มงวดในกฎเกณฑ์ และมีเจตคติหรือทัศนคติที่เป็นศัตรูกับกลุ่มที่แตกต่างจากตนเอง ในทางจิตวิทยาสังคม ลักษณะนี้ถูกศึกษาครั้งแรกโดยทีโอดอร์ อดอร์โน (Theodor Adorno) และคณะในงานวิจัยเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของฟาสซิสต์และลัทธินาซีในยุโรปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ลักษณะสำคัญของบุคลิกภาพแบบอำนาจนิยม ได้แก่:
บุคลิกภาพแบบอำนาจนิยมมีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพที่มีแนวโน้มเป็นเชิงอนุรักษ์นิยมและชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย (conservative and orderly personality) บุคลิกภาพเหล่านี้มักประกอบด้วยลักษณะดังนี้:
นอกจากนี้ บุคลิกภาพแบบอำนาจนิยมสัมพันธ์กับบุคลิกภาพแบบการครอบงำทางสังคม (social dominance orientation; SDO)
บุคลิกภาพแบบการครอบงำทางสังคม (Social Dominance Orientation; SDO) เป็นลักษณะบุคลิกภาพที่สะท้อนถึงความเชื่อและทัศนคติที่สนับสนุนความไม่เท่าเทียมและลำดับชั้นทางสังคม คนที่มี SDO สูงมักจะเชื่อว่าบางกลุ่มควรมีอำนาจและสิทธิพิเศษเหนือกลุ่มอื่น และสนับสนุนระบบสังคมที่มีการแบ่งแยกอำนาจอย่างชัดเจน
ลักษณะสำคัญของบุคลิกภาพแบบ SDO ได้แก่:
การเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคลในตัวแปรต่าง ๆ ข้างต้น จะทำให้เกิดการยอมรับความแตกต่างและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
Chaiwutikornwanich A. (unpublished manuscript). The Impact of Social Dominance Orientation, Authoritarianism, and Social Identity on Aggression and Life Satisfaction in Thailand: A Comparative Analysis Across Age Groups and Socioeconomic Statuses.
บทความโดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช
อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม
ผู้ให้บริการทางสุขภาพจิต หมายถึง นักวิชาชีพที่มีความรู้ความสามารถที่ได้มาตรฐานในการให้บริการด้านจิตเวช จิตวิทยา และสุขภาพจิต เพื่อส่งเสริมสุขภาวะ ป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิต บำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตใจของบุคคล ผู้ให้บริการทางสุขภาพจิตอาจหมายถึง จิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยาการปรึกษา นักจิตบำบัด นักสังคมสงเคราะห์
จรรยาบรรณ คือ จริยธรรมในวิชาชีพที่เป็นบทมาตรฐานการประพฤติปฏิบัติอันเหมาะสมในการประกอบอาชีพหรือปฏิบัติงาน เขียนขึ้นโดยสมาคมและองค์กรแต่ละวิชาชีพเพื่อให้นักวิชาชีพหรือสมาชิกนั้นได้ตระหนักและยึดถือปฏิบัติ อีกทั้งใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าสิ่งใดควรกระทำหรือไม่ควรกระทำ เพื่อรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีชื่อเสียงของนักวิชาชีพ
หลักจรรยาบรรณมีขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการ ผู้ให้บริการในฐานะนักวิชาชีพ และสังคมหรือสาธารณชน
ในแง่ประโยชน์ต่อผู้รับบริการ คือ ช่วยรับรองสิทธิของผู้รับริการและส่งเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากกระบวนการ รวมถึงเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประพฤติผิดในหน้าที่ของผู้ให้บริการ
ในแง่ประโยชน์ต่อผู้ให้บริการ คือ เป็นหลักหรือแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ให้บริการทางสุขภาพจิต อกทั้งเป็นแหล่งอ้างอิงประกอบการตัดสินใจ เมื่อผู้ให้บริการเผชิญกับปัญหาทางจรรยาบรรณ อีกทั้งเป็นสิ่งช่วยกระตุ้นให้นักวิชาชีพหมั่นฝึกฝนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับผู้ให้บริการทางสุขภาพจิตแตกต่างจากผู้ช่วยเหลืออื่น ๆ
ในแง่ประโยชน์ต่อสังคม หลักจรรยาบรรณเป็นสิ่งที่รับรองมาตรฐาน สร้างความไว้วางใจ เป็นหลักประกันให้แก่สังคมว่ามีการกำกับดูแลการบริการไม่ให้เป็นภัยต่อผู้รับบริการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง

หลักจรรยาบรรณของผู้ให้บริการทางสุขภาพจิตมีหลากหลาย ที่สำคัญ ๆ และมักถูกนำมาศึกษาเปรียบเทียบ ได้แก่
ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่
คำนำและการนำไปใช้
เป็นการกล่าวแนะนำวัตุประสงค์ และขอบเขตของการนำหลักจรรยาบรรณไปประยุกต์ใช้
บทนำ
เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงบทบาทความรับผิดชอบของนักจิตวิทยาในการสร้างและพัฒนาความรู้ในเชิงวิชาชีพและเชิงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมและความเข้าใจความเป็นมนุษย์ของตนเองและผู้อื่น
หลักทั่วไป
เป็นแนวคิดพื้นฐานที่ช่วยแนะแนวทางการประพฤติปฏิบัติตนในการประกอบวิชาชีพหรือใช้เป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจ ประกอบด้วย 5 หลักการ คือ
หลักมาตรฐานจรรยาบรรณ
เป็นเนื้อหาหลักที่เกี่ยวกับข้อประพฤติปฏิบัติและหน้าที่ความรับผิดชอบของนักจิตวิทยาในเรื่องนั้น ๆ ประกอบไปด้วย 10 หมวดหมู่ ได้แก่
ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่
คำนำ
เป็นการกล่าวถึงความสำคัญของหลักจรรยาบรรณที่เป็นหลักการทางจรรยาบรรณ ค่านิยม และมาตรฐานความประพฤติที่สมาคมคาดหวังจากสมาชิก
พันธกิจที่มีต่อผู้รับบริการ
เป็นส่วนที่กล่าวถึงภาพรวมและข้อสรุป หรือความรับผิดชอบที่สมาชิกจะปฏิบัติต่อผู้รับบริการ ซึ่งสามารถใช้เป็นเอกสารประกอบในการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้รับบริการเกี่ยวกับการให้บริการ
หลักการทั่วไปทางจริยธรรม
เป็นส่วนที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ให้บริการทำความเข้าใจแนวคิดหลักการที่อยู่เบื้องหลังการให้บริการ และช่วยในการนิเทศ ใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรม ประกอบด้วย 6 หลักการ คือ
หลักการประพฤติปฏิบัติ
เป็นส่วนที่เกี่ยวข้อกับการประพฤติปฏิบัติในการประกอบวิชาชีพ เป็นการะบุรายละเอียดของพฤติกรรมที่นักวิชาชีพพึงปฏิบัติหรือไม่พึงปฏิบัติ แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ ได้แก่
ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่
บทนำ
เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของหลักจรรยาบรรณฉบับนี้ว่าจัดทำขั้นโดยสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศจีน เพื่อช่วยให้นักจิตวิทยาคลินิกและนักจิตวิทยาการปรึกษา รวมถึงผู้รับบริการและสาธารณชนเข้าใจหลักการสำคัญของจรรยาบรรณ และเข้าใจบทบาทความรับผิดชอบของนักวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในสาขาจิตบำบัดและการให้คำปรึกษา อีกทั้งเพื่อเป็นการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านสุขภาพจิต และช่วยรับรองสิทธิและสวัสดิภาพของผู้รับบริการและสาธารณชน
หลักการทั่วไปทางจริยธรรม
ประกอบด้วย 5 หลักการคือ
หลักมาตรฐานทางจรรยาบรรณ
เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับหลักจรรยาบรรณและข้อประพฤติปฏิบัติในเรื่องนั้น ๆ ประกอบไปด้วย 7 หมวดหมู่ ได้แก่
ในประเทศไทย หลักจรรยาบรรณของผู้ให้บริการทางสุขภาพจิตไม่ได้ละเอียดและชัดเจนครบถ้วนเทียบเท่ากับต่างประเทศ แต่มีกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการทางสุขภาพจิตอยู่บ้าง เช่น
จากงานวิจัยของ Leach และ Harbin ปี 1997 ที่ศึกษาเปรียบเทียบหลักจรรยาบรรณของนักจิตวิทยาใน 24 ประเทศ พบว่ามี 10 หลักการทั่วไปและข้อปฏิบัติที่นานาประเทศมีร่วมกัน ได้แก่ (1) การรักษาความลับ (2) การเปิดเผยความลับ (3) ขอบเขตความสามารถเชี่ยวชาญ (4) การหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้รับบริการ (5) ความสัมพันธ์ที่หาประโยชน์โดยมิชอบ (6) การมอบหมายงานและการนิเทศ (7) ค่าบริการและการจัดการทางด้านการเงิน (8) การหลีกเลี่ยงการหลอกลวงหรือการให้ข้อมูลเท็จ (9) การแจ้งข้อมูลและรับความยินยอมก่อนเข้าร่วมกระบวนการ (10) การแจ้งข้อมูลและรับความยินยอมก่อนเข้าร่วมการวิจัย
งานวิจัยของ Pope (1992) ได้สำรวจประเด็นความขัดแย้งทางด้านจริยธรรมที่เกิดขึ้นกับนักจิตวิทยาที่เป็นสมาชิกของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน พบว่าปัญหาที่พบบ่อยในบริการสุขภาพจิต ได้แก่ การเก็บรักษาความลับของผู้รับบริการ และความสัมพันธ์ทับซ้อน
ในความเป็นจริงมีบางสถานการณ์ที่ผู้ให้บริการจำเป็นต้องละเมิดการรักษาความลับ หากมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อผู้รับบริการหรือบุคคลอื่น หรือเกิดการททารุณกรรมในเด็ก หรือการเปิดเผยความลับที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อ
Younggren และ harris (2018) เสนอวิธีช่วยในการรับมือและจัดการกับปัญหาการรักษาความลับไว้ ดังนี้
โดยทั่วไปแล้วความสัมพันธ์ทับซ้อนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ความสัมพันธ์ทับซ้อนเชิงชู้สาว และความสัมพันธ์ทับซ้อนที่ไม่ใช่เชิงชู้สาว
ความสัมพันธ์ทับซ้อนเชิงชู้สาว เป็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับทางร่างกาย เป็นเรื่องความรู้สึกทางเพศ มีกิจกรรมหรือการแสดงออกในเชิงชู้สาว การมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้รับบริการถือว่าเป็นเรื่องที่จริงจังที่สุดในการละเมิดหลักจรรยาบรรณ เพราะเป็นการใช้อำนาจที่ผิดและทรยศต่อความเชื่อใจหรือส่งผลเสียต่อผู้รับบริการ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย และเป็นการเอาเปรียบและการบงการ ผลกระทบที่เกิดกับผู้รับบริการไม่ต่างจากการเป็นเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเทศ จึงเป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ของผู้ให้บริการในการจำกัดขอบเขตของความสัมพันธ์ให้อยู่ในความเหมาะสม
ความสัมพันธ์ทับซ้อนไม่ใช่เชิงชู้สาว แบ่งออกได้เป็น 8 ประเทศ ดังนี้
เรื่องความสัมพันธ์ทับซ้อนนี้เป็นพฤติกรรมทางจริยธรรมที่ค่อนข้างคลุมเครือ เนื่องจากบริบททางวัฒนธรรมที่ต่างกัน เช่น การรับสิ่งของหรือของตอบแทนจากผู้รับบริการ โดยทั่วไปเป็นที่เข้าใจว่าเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม อาจมีนัยสำคัญที่ส่งผลต่อกระบวนการบำบัด แต่ในบางวัฒนธรรมหรือบางสังคมมองว่าการให้ของขวัญตอบแทนเป็นเรื่องปกติ ไม่แสดงถึงนัยยะอื่นนอกจากความรู้สึกขอบคุณ และการปฏิเสธน้ำใจอาจเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์ นอกจากนี้ ในบางวัฒนธรรมตะวันออก เช่น ประเทศจีน จะรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจและประสงค์เข้ารับบริการกับผู้ให้บริการทางสุขภาพจิตที่รู้จักหรือคุ้นเคยกันมากกว่า ดังนั้นการแก้ไขประเด็นขัดแย้งด้านจริยธรรมในการบริการด้านสุขภาพจิตควรศึกษาหลักจริยธรรมของตน ขอคำแนะนำ และมีความถี่ถ้วนในกระบวนการตัดสินใจตามหลักจริยธรรมเพื่อจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อนเหล่านี้
ข้อมูลจาก
พรพรหม ลิขิตโฆษิตกุล. (2566). การสำรวจความเชื่อทางจรรยาบรรณของผู้ให้บริการทางสุขภาพจิตในประเทศไทย [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2023.138
In a speech on education broadcasted on national television in 1991, US Senator Ted Kennedy said that “Our national interest ought to be to encourage the breast and brightest”, while cupping his hand in the air. He quickly corrected himself and said: “the best and brightest”.
During his 1988 presidential campaign, US President George H.W. Bush described serving as Ronald Reagan’s vice president in this way: “For seven and a half years, I’ve worked alongside President Reagan. We’ve had triumphs. Made some mistakes. We’ve had some sex… uh… setbacks.”
When responding to a question about tax cuts for the wealthy in 2012, UK Prime Minister David Cameron said that “We are raising more money for the rich”, when presumably he meant to say “the poor”.
These are some of the more famous examples of speech errors, or what are sometimes referred to as ‘Freudian slips’, named after the psychoanalyst Sigmund Freud who attributed significant meaning to speech errors. Freud believed that such errors were not mere incidents or innocent blunders in speaking. According to Freud, speech errors reveal the speaker’s repressed, unconscious urges and intentions, such as those about sex, lust, and swearing. For example, calling your current partner by your ex’s name might indicate an unconscious desire for your previous partner. Kennedy might have accidentally let his hidden sexual desires and obsessions become revealed on national television when he said “breast” instead of “best”. President Bush might have harbored some repressed feelings about Reagan, such as an unconscious association of Reagan with sex, that caused him to say “sex(backs)” instead of “setbacks” when talking about him. PM Cameron might have held an unconscious, wicked intention to make the rich get richer and the poor get poorer when he said “rich” instead of “poor”.
It has proven difficult to empirically test the psychoanalytic hypothesis that speech errors reveal repressed, unconscious intentions. Even Freud himself acknowledged alternative albeit more mundane explanations for speech errors, such as strong associations, fatigue, and distraction, though he largely dismissed those factors in favor of his psychodynamic explanation: “we do not maintain that every single mistake has a meaning, although I think that is very probable” (Freud, 1922, pg. 22).
In the decades that followed, research from cognitive psychology has shown that speech errors reveal a lot about how the brain processes language for speaking, serving as an alternative explanation for ‘Freudian slips’. Speaking is a complex cognitive task that requires the brain to translate thoughts into spoken words through a series of processing steps, with many opportunities for systematic mix-ups (Dell, 1988). To speak, your brain must put together the components of language (word sounds, words, grammar) on the spot. You first need to access words from a network of words (the semantic network) in your brain, which are organized by similarity in sound and meaning. Then, you need to select and arrange the words’ sounds, which can occasionally lead to some sounds being unintentionally swapped, added, or deleted. The sound and meaning of the current word being planned may be corrupted due to influence from the sound and meaning of adjacent words, reflecting a slip-up in the unfolding mental plan for speaking. Consistent with this view, comprehensive analyses of speech errors from real-world data have revealed that speech errors tend to follow predictable patterns (Dell & Reich, 1981) that highlight systematic relationships between the speech error(s) and the intended word(s), as shown in the Table below.

The patterns of speech errors in the Table above show how thoughts, words, and sounds can cross and create a mistake in the sounds that we end up saying. In the process of speaking, we also mentally edit our words before we speak, monitoring ourselves to avoid mistakes and inappropriate language (Levelt, 1983). This usually works well but occasionally it fails, and a mistake slips out before the brain was able to catch it. So sometimes, we ask for a red pen when we actually meant a blue one. We say ‘final’ exam but meant ‘midterm’. We call our child by their sibling’s name. Situational context also matters. We are more prone to producing speech errors if we are nervous, tired, intoxicated, multi-tasking, or speaking too fast. Under these conditions, it becomes more cognitively demanding to monitor our inner speech and catch speech errors before we say them.
Given the cognitive demands of speaking, speech errors are fairly common and may often be innocent, rather than revealing repressed desires. When Ted Kennedy said “breast and brightest”, the ‘r’ sound from ‘brightest’ might have inadvertently appeared too early in the sentence and got inserted into ‘best’, corresponding to the “Anticipation” pattern of speech error. Similarly, in President Bush’s “sexbacks”, the ‘x’ sound at the end of the word ‘setbacks’ may have turned ‘set’ into ‘sex’. PM Cameron might have said ‘rich’ instead of ‘poor’ due to their strong association in meaning, while attempting to retrieve the intended word from the brain’s massive network storage of words. Such speech errors likely reflect minor errors of unconscious language processing, though perhaps not necessarily the psychoanalytic interpretation of the ‘unconscious’ but rather a part of the typical mental processes that regularly occur outside of our conscious awareness.
There is no single explanation – whether the psychoanalytic perspective or the cognitive psychology perspective – that can be touted as the absolute truth in explaining every single case of speech error. Psychological science, like any other science, is an ongoing process of explaining human behaviors by taking in evidence and trying to make sense of it. Science is therefore an art of converging on “less wrong” interpretations, not about “being right”. Parsimonious explanations tend to be favored, since they can account for the data by requiring fewer assumptions than their counterparts.
So how much should we read into people’s speech errors? Comprehensive analyses of spontaneous speech errors suggest that genuinely ‘Freudian’ slips – errors that reveal unexpressed thoughts – likely do happen, but not nearly as prevalently as Freud may have believed. Freud’s explanation is also not the most parsimonious explanation for why speech errors occur, since it’s easy to cause speech errors due to the routine linguistic processes involved in how the brain arranges words and sounds for speaking. Most speech errors therefore probably reflect the innocent process of the cognitive system involved in speaking, rather than revealing the speaker’s secret desires.
Dell, G. S. (1988). The retrieval of phonological forms in production: Tests of predictions from a connectionist model. Journal of Memory and Language, 27(2), 124-142.
Dell, G. S., & Reich, P. A. (1981). Stages in sentence production: An analysis of speech error data. Journal of Verbal Learning and Verbal Behavior, 20(6), 611-629.
Freud, S. (1922). Introductory lectures on psycho-analysis. London: George Allen & Unwin.
Levelt, W. J. (1983). Monitoring and self-repair in speech. Cognition, 14(1), 41-104.
Pincott, J. E. (2012, March 13). Slips of the tongue. Psychology Today. https://www.psychologytoday.com/us/articles/201203/slips-the-tongue
Reason, J. (2000). The Freudian slip revisited. The Psychologist, 13(12), 610-611. https://www.bps.org.uk/psychologist/freudian-slips-revisited
Lecturer Suphasiree Chantavarin, Ph.D.
Head of Cognitive Psychology Area
คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ นางสาวปัฌรวี ชยวรารักษ์ นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักกีฬาระบำใต้น้ำจากทีมสมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย (Senior Team) ที่ได้เข้าร่วมแข่งขันกีฬาว่ายน้ำลีลาชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2567 (1st Thailand Open Artistic Swimming Championships 2024) ในวันที่ 28 – 29 กันยายน 2567 สร้างผลงานดังต่อไปนี้
รายการนี้มีนักกีฬาจากประเทศไทยและชาติสมาชิกในอาเซียนเข้าร่วมการแข่งขัน อาทิ ทีมสมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย Junior Team และ Senior Team, ทีมสิริมงคล รวมถึง ทีมกัวลาลัมเปอร์ และ ทีมปีนัง จากมาเลเซีย พร้อมทั้งยังมีกรรมการจากต่างชาติมาร่วมตัดสิน อาทิ กรรมการจากโครเอเชีย, อิตาลี, สิงคโปร์ และประเทศไทย
โดยเป้าหมายของการจัดการแข่งขันครั้งนี้คือเพื่อเป็นการเตรียมตัวของบุคลากร นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และผู้ตัดสิน เพื่อให้มีความพร้อมในการจัดการแข่งขัน SEA Aquatics Age Group Championships 2024 ในวันที่ 6 – 8 ธันวาคม 2567 ต่อไป







วันที่ 3 ตุลาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีกับ รองศาสตราจารย์ ดร.พันธวัศ สัมพันธ์พานิช ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม และผู้บริหาร เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ชั้น 15 อาคารสรรพศาสตร์วิจัย จุฬาฯ


คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยาสำหรับประชาชนทั่วไป ประจำปี 2567 ซึ่งจะจัดอบรมแบบออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น ZOOM ระหว่างวันที่ 25 พ.ย. – 23 ธ.ค. 2567 (เฉพาะวันจันทร์ อังคาร พุธ) เวลา 18.00 – 21.00 น. รวมใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรมและสอบวัดผลทั้งสิ้น 30 ชั่วโมง โดย คณาจารย์ประจำแขนงวิชาต่าง ๆ ของ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร

โครงการอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาให้แก่ประชาชนทั่วไปที่สนใจศาสตร์ด้านจิตวิทยา เนื้อหาการอบรมจะเป็นการปูพื้นฐานให้ผู้ที่ไม่เคยศึกษาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยามาก่อนได้เรียนรู้และเข้าใจกับคำว่า “จิตวิทยา” โดยมุ่งเน้นไปที่พื้นฐานในการศึกษากระบวนการแห่งการรู้สึก การรับรู้ การเรียนรู้ การจำ การคิด การจูงใจ บุคลิกภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยคาดหวังว่าผู้ที่ผ่านการอบรมไปนั้น จะสามารถนำศาสตร์ทางจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมความพร้อมและเพิ่มองค์ความรู้พื้นฐานทางด้านจิตวิทยาให้แก่ผู้สนใจเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีพื้นฐานทางจิตวิทยาที่จำเป็น และสามารถนำไปต่อยอดในการศึกษารายวิชาที่กำหนดในหลักสูตรในระดับที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์การวัดผลของโครงการจะได้รับวุฒิบัตรเพื่อใช้ประกอบการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาของคณะจิตวิทยาได้

หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง ทางผู้จัดโครงการจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอการอบรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้จนถึง
วันที่ 31 มกราคม 2568 (หากชมคลิปวิดีโอภายหลังช่วงเวลาสอบจะไม่นับเป็นเวลาเรียน)

บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้วมีสิทธิเปิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ

วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีกับ ศาสตราจารย์ ดร.จิตรลดา อารีย์สันติชัย คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้บริหาร เนื่องในโอกาสครบรอบ 17 ปี แห่งการสถาปนาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้อง 1107 ชั้น 11 อาคารสรรพศาสตร์วิจัย จุฬาฯ

