ข่าวและกิจกรรม

การกล่าวโทษเหยื่อ – Victim Blaming

 

การกล่าวโทษเหยื่อ คือ พฤติกรรมของบุคคลที่มองว่าเหยื่อของอาชญากรรม ความรุนแรง หรือการทารุณกรรม มีส่วนผิดหรือมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวของพวกเขา หรือแนวคิดที่มองว่าเหยื่อต้องทำบางอย่างที่ผิดหรือไม่เหมาะสมจนทำให้ตนเองต้องตกเป็นเหยื่อ โดยมักมุ่งเน้นการแต่งกายของผู้ถูกกระทำ พฤติกรรม สถานที่ที่ไป และวิถีชีวิตของเหยื่อในด้านต่าง ๆ

 

การกล่าวโทษผู้ถูกกระทำว่าเป็นต้นเหตุหรือมีส่วนให้เกิดภัยอันตรายขึ้นแก่ตนด้วยตนเองนั้น สะท้อนแนวคิดถึงเหยื่อในอุดมคติ (ideal victim) หรือการกำหนดกรอบทางสังคมเกี่ยวกับลักษณะที่สมควรเป็นของผู้ถูกกระทำ เป็นภาพจำทางสังคมที่กำหนดกรอบของผู้ถูกกระทำหรือผู้ตกเป็นเหยื่อด้วยลักษณะต่าง ๆ ที่ผู้คนให้การตัดสินว่าเป็นลักษณะของผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ

 

นิลส์ คริสตี นักสังคมวิทยาชาวนอรเวย์ได้เขียนถึงความคาดหวังต่อผู้ถูกกระทำว่ามีลักษณะตามเงื่อนไข 5 ประการ ที่ทำให้เหยื่อคนหนึ่งได้รับความเชื่อถือว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกกระทำในความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น คือ

 

  1. ผู้ถูกกระทำต้องมีลักษณะอ่อนแอ อาจเป็นผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย ผู้สูงอายุ หรือเยาวชน
  2. ผู้ถูกกระทำต้องมีประวัติหรือหน้าที่การงานที่ดี
  3. ผู้ถูกกระทำต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้อย่างแท้จริง
  4. ผู้ถูกกระทำต้องไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใด ๆ หรือมีความรู้จัก สนิทสนมกับผู้ถูกกระทำ
  5. ผู้กระทำต้องเป็นคนไม่มี ที่มีอำนาจมากกว่าผู้ถูกกระทำ

 

เมื่อผู้ถูกกระทำมีลักษณะผิดไปจากอุดมคติ อาทิ แต่งกายไม่มิดชิด เดินทางลำพังในยามวิกาล หรือมีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างจากการกำหนดกรอบทางสังคม มักก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติและความโน้มเอียงทางความคิดของสังคม เป็นการลดทอนความร้ายแรงของการกระทำผิดและเพิ่มความชอบธรรมให้แก่ผู้กระทำ

 

ความเลวร้ายของทัศนคติหรือกรอบแนวคิดที่กำหนดความเป็นผู้ถูกกระทำของสังคมนั้นส่งผลเสียต่อผู้ได้รับความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ในกระบวนการทางกฎหมายของคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศ เรื่องราวของเหยื่อจะถูกเปิดเผยต่อสังคมและหยิบยกขึ้นมาทำให้ขึ้นมาทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเหยื่อกลายเป็นโมฆะจากกรอบความคิดของความเป็นเหยื่อ เพื่อกล่าวโทษว่าพฤติกรรม ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตของผู้เผชิญความรุนแรงดังกล่าวมีต้นเหตุมาจากตัวผู้ถูกกระทำเอง

 

การกล่าวโทษเหยื่ออาจถูกปลูกฝังมาจากความเชื่อต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมาในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในศาสนา ความเชื่อเรื่องโลกมีความยุติธรรม หรือความเชื่อเรื่องเจตจำนงอิสระ (Free Will) ความเชื่อมั่นว่าบุคคลหรือผู้ถูกกระทำต้องรับผิดชอบในความโชคร้ายของตนเองเพราะเป็นผู้เลือกกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง หรือจากการผลิตซ้ำภาพจำของเหยื่อในอุดมคติ และสื่อที่นำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน อาจมีส่วนในการสร้างแนวคิดและพฤติกรรมการกล่าวโทษเหยื่อด้วยเช่นกัน

 

การเลือกใช้คำสำหรับการรายงานความรุนแรงของอาชญากรรมคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้น โดยการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า การทดลองอ่านประโยครายงานข่าวข่มขืนที่แตกต่างกัน 2 ประโยค ประโยคแรกใช้ผู้ถูกกระทำเป็นประธานของประโยค ประโยคที่สองใช้ผู้กระทำเป็นประธานของประโยค พบว่าการบอกเล่าแบบแรกมีแนวโน้มของการที่ผู้รับสารจะแสดงพฤติกรรมการกล่าวโทษเหยื่อมากขึ้น ในขณะที่แบบหลังจะลดการตัดสินในการกระทำของผู้ตกเป็นเหยื่อลง ไม่มุ่งเน้นพิจารณาตัวตนของผู้เสียหาย และทำให้ผู้รับสารแสดงพฤติกรรมกล่าวโทษเหยื่อน้อยกว่า

 

 

 

 

 

มิติของการกล่าวโทษเหยื่อ

 

มีการศึกษาบางส่วนจำแนกการกล่าวโทษออกเป็น 2 มิติตามมุมมองของผู้เผชิญเหตุการณ์ร้าย

 

  1. การกล่าวโทษตนเอง (Self-blame) ในกรณีที่ตนเองเป็นผู้เคราะห์ร้าย
    การกล่าวโทษตนเองของผู้ถูกกระทำมักเกี่ยวข้องกับภาวะอารมณ์ความรู้สึกผิด ความอับอาย และความคาดหวังที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจนเกิดเป็นบาดแผลทางจิตใจ เป็นการกล่าวโทษที่เน้นไปที่การกระทำหรือพฤติกรรมของเหยื่อ เช่น หากฉันไม่เดินทางไปสถานที่แห่งนั้น
  2. การกล่าวโทษเหยื่อ (Victim-blame) ในกรณีที่ผู้อื่นตกเป็นผู้เคราะห์ร้าย
    การกล่าวโทษเหยื่อในกรณีที่ผู้ถูกกระทำเป็นบุคคลอื่นมักเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของการดูแคลน ความเกลียดชังขยะแขยง ความก้าวร้าว ความโกรธ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการตัดสินบุคคลด้วยมาตรฐานความถูกผิดตามกรอบของสังคม เป็นการกล่าวโทษที่มุ่งเน้นไปที่บุคลิกและนิสัยของผู้ถูกกระทำ เช่น เพราะเธอเป็นคนที่มีลักษณะไม่เรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็น

 

 

ผลของการกล่าวโทษเหยื่อ

 

ในสังคมที่มีลักษณะสังคมแบบปิตาธิปไตย (Patriarchy) หรือวางบทบาทให้ผู้มีอัตลักษณ์เพศขายมีฐานะเหนือกว่าผู้มีอัตลักษณ์เพศอื่น ๆ ส่งผลให้อัตราการตกเป็นเหยื่อของผู้ถูกกระทำของอาชญากรรมทางเพศในสังคมเกิดขึ้นกับอัตลักษณ์เพศหญิงมากกว่า ทว่าในการสำรวจบางส่วนจากรายงานอาชญากรรมกลับพบว่าผู้ตกเป็นเหยื่อที่เป็นเพศชายนั้นเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้การศึกษายังพบว่าเหยื่อที่มีลักษณะภายนอกเป็นเพศชายนั้นมักถูกกล่าวโทษโดยมุ่งเน้นด้านพฤติกรรมเมื่อเกิดเหตุร้ายกับตนมากกว่า เนื่องจากสมมติฐานการเหมารวม (Stereotypical assumption) ว่าผู้ชายมีความแข็งแรงและมีความสามารถในการต่อสู้กลับหรือป้องกันตัวจากการตกเป็นเหยื่อได้ ในขณะที่เหยื่อผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นเพศหญิงนั้นมักถูกกล่าวโทษด้วยลักษณะนิสัยการแสดงออก เช่น เป็นคนประมาท หรือเชื่อคนง่าย

 

การตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายที่บุคคลเผชิญโดยไม่คำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้เคราะห์ร้ายนั้น สร้างความทุกข์ ความวิตกกังวลสำหรับเหยื่อ และลดความตั้งใจในการขอความช่วยเหลือหรือรายงานอาชญากรรมทางเพศลง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับความช่วยเหลือลดลงหรือไม่ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม

 

นอกเหนือจากเจตนาการขอความช่วยเหลือของผู้ตกเป็นเหยื่อแล้ว การกล่าวโทษเหยื่อยังส่งผลต่อความมั่นใจในการตัดสินใจของเหยื่อต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคต การให้ความช่วยเหลือของพยาน และการเขียนสำนวนคดีความของอัยการในกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

บุณยาพร อนะมาน. (2567). การกล่าวโทษเหยื่อ: อิทธิพลของความเชื่อเรื่องโลกมีความยุติธรรม โดยมีอคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศและการยอมรับมายาคติของการข่มขืนที่ถูกนำเสนอโดยสื่อเป็นตัวแปรส่งผ่าน [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2024.593

 

กิจกรรม “บุญสุนทาน” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

 

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 คณะจิตวิทยา โดยคณบดี ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ เข้าร่วมกิจกรรม “บุญสุนทาน” วาระสำคัญ ตักบาตรพระสงฆ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ เรือนไทยจุฬาฯ

 

กิจกรรมบุญสุนทาน ตักบาตรพระสงฆ์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ จัดทุกวันศุกร์จำนวน 9 ครั้ง ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 9 มกราคม 2568 (ยกเว้นวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2568 และวันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2569) ดำเนินการโดยธรรมสถาน สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ

 

 

หนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้าเกี่ยวกับการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต – Advance Directive

 

หนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้าเกี่ยวกับการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต – Advance Directive คือ ข้อความหรือลายลักษณ์อักษรที่บุคคลได้แสดงถึงรูปแบบหรือแนวทางการรักษาทางการแพทย์ที่ตนต้องการไว้ล่วงหน้า หรืออาจแสดงถึงความไม่ประสงค์จะรับการรักษาพยาบาลในวาระสุดท้ายของชีวิตที่ไม่เกิดประโยชน์กับตนเองและเกินความจำเป็น หรือเป็นไปเพียงการยื้อชีวิต

 

การทำหนังสือแสดงเจตนาฯ มีขึ้นเพื่อที่ว่า เมื่อบุคคลนั้นไม่สามารถตัดสินใจหรือประกาศความจำนงเรื่องแนวทางการรักษาด้วยตนเองอีกต่อไป หนังสือแสดงเจตนาฯ จะเป็นตัวแทนของบุคคลนั้น อาทิ ในกรณีที่บุคคลประสบโรคภัยหรืออุบัติเหตุรุนแรง ผู้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นจะได้ดำเนินการรักษาตามความต้องการที่บุคคลนั้นได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณะอักษร

 

 

หนังสือแสดงเจตนาฯ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

 

 

1. พินัยกรรมชีวิต (Living will)

 

คือ หนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้าที่แสดงถึงการดูแลรักษาทางการแพทย์ที่ตนเองต้องการในกรณีที่ตนกำลังอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือไร้สติสัมปชัญญะอย่างถาวร ตลอดจนไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด บุคคลสามารถแสดงความต้องการได้ว่ากระบวนการรักษาใดที่ตนเองต้องการหรือไม่ต้องการ ตลอดจนระบุได้ว่ากรณีใดที่ให้ผู้อื่นทำตามที่บุคคลนั้นต้องการ ทั้งนี้ การที่บุคคลปฏิเสธการรักษาทางการแพทย์ทุกอย่าง บุคคลนั้นยังจะรับยาปฏิชีวนะ อาหาร ยาลดความเจ็บปวด และการรักษาอื่นๆ กล่าวคือ บุคคลจะได้รับการประคับประคองเพื่อบรรเทาความทรมานมากกว่าการบำบัดรักษา

 

นอกจากนี้ เจ้าของชีวิตสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลง ระงับการใช้ชั่วคราว หรือยกเลิกการใช้พินัยกรรมชีวิตได้ตลอดเวลาตามต้องการ

 

 

2. หนังสือมอบอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลรักษา (Health Care Power of Attorney; Health Care Proxy)

 

คือ หนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้าที่เจ้าของชีวิตมอบอำนาจให้บุคคลอื่นได้ตัดสินใจในกระบวนการรักษาแทนตนเอง เมื่อตนเองไม่สามารถตัดสินใจได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้ ผู้แทนควรเป็นผู้ที่คุ้นเคยหรือรู้ในค่านิยมและความต้องการของบุคคลที่มอบอำนาจให้ตน

 

 

ภาพประกอบจาก https://hendrickscareertek.org

 

 

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ

 

  1. ความรู้เกี่ยวกับหนังสือแสดงเจตนา – ผู้ที่มีความรู้หรือเคยได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือแสดงเจตนาฯ มีแนวโน้มจะทำหนังสือแสดงเจตนาฯ มากกว่า
  2. ทัศนคติเกี่ยวกับความตาย – ผู้ที่ไม่หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงหรือคิดถึงความตาย ผู้ที่มองว่าความตายเป็นทางออกของปัญหาหรือความเจ็บปวดใดๆ (ประสงค์ในคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในวาระสุดท้าย /การตายดี) มีแนวโน้มจะทำหนังสือแสดงเจตนาฯ มากกว่า
  3. ประสบการณ์สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก – ผู้ที่เคยสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก โดยเฉพาะที่เป็นการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังที่ได้เห็นความรมานของการดำเนินโรค มีแนวโน้มตัดสินใจวางแผนการดูแลวาระสุดท้ายของชีวิตของตนเองมากกว่า
  4. การรับรู้เวลาชีวิตที่เหลืออยู่ – ผู้ที่มีการรับรู้ว่าเวลาชีวิตที่เหลืออยู่นั้นมีจำกัดจะมีแนวโน้มในการวางแผนการดูแลรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต คือ พิจารณาเกี่ยวกับความตายมากขึ้น ไม่ต้องการเป็นภาระหรือความเจ็บปวดให้กับคนที่ตนรักในอนาคต
  5. ประสบการณ์ความเจ็บป่วยหนักของตนเองและบุคคลใกล้ชิด – หากบุคคลได้รับผลกระทบทางจิตใจมากจากการได้ประสบหรือพบเห็นความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยและสัมผัสถึงความยากลำบากในกระบวนการรักษา บุคคลจะมีแนวโน้มทำหนังสือแสดงเจตนาฯ เพื่อเลือกแนวทางการดูแลรักษาตามที่ตนต้องการ
  6. ปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความเชื่อมั่นในความสามารถของทีมแพทย์ ความเชื่อมั่นว่าคนใกล้ชิดและบุคลากรทางการแพทย์จะทำตามความต้องการของตน ความเชื่อในปาฏิหาริย์ ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ความยึดมั่นในศาสนา การมีบุคคลที่ไว้วางใจหรือรู้ในค่านิยมของตน รายได้ครอบครัว สถานะและความผูกพันในครอบครัว เป็นต้น

 

 

ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับหนังสือแสดงเจตนา

 

 

ผิด – “ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เคยทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ว่าไม่ต้องการรับบริการทางการแพทย์ จะยังได้รับการรักษาเพื่อยื้อชีวิตไว้ให้นานที่สุด”

ถูก – “การแสดงเจตนาไม่ต้องการหรือการปฏิเสธการรักษานั้น ผู้ป่วยจะไม่ได้รับการยื้อชีวิต หากได้รับการดูแลแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานจนจากไปอย่างสงบ”

 


 

ผิด – “แพทย์มีสิทธิตัดสินใจในการถอดท่อช่วยหายใจหรืออุปกรณ์ยื้อชีวิตเมื่อผู้ป่วยหมดหนทางรักษา”

ถูก – “แพทย์ต้องยึดตามเจตนาของผู้ป่วยก่อน หากผู้ป่วยไม่ได้แสดงเจตนาไว้ ก็ต้องปรึกษาญาติและบุคคลใกล้ชิดที่รู้ในค่านิยมของผู้ป่วย”

 


 

ผิด – “หนังสือแสดงเจตนาฯ คือการทำการุณยฆาต”

ถูก – “การุณยฆาตยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในไทย”

 


 

ผิด – “หนังสือแสดงเจตนาฯ ไม่มีผลบังคับใช้ในเมืองไทย”

ถูก – “หนังสือแสดงเจตนาฯ มีผลบังคับใช้ในเมืองไทยแล้ว”

 

 

 

 


 

 

 

ข้อมูลจาก

 

วนัชพร พิพัฒน์ธนวงศ์. (2560). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจทำหนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้าเกี่ยวกับการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2017.813

 

 

กลไกป้องกันตนเอง (Defense Mechanisms): พลังจิตใต้สำนึกที่ช่วยเรารับมือกับความทุกข์

 

ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต้องเผชิญกับความเครียด ความผิดหวัง หรือความรู้สึกผิดที่ยากจะยอมรับ จิตใจของเราจึงมีกลไกบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพื่อปกป้องตนเองจากความรู้สึกเหล่านั้น กลไกนี้เรียกว่า “กลไกป้องกันตนเอง” (Defense Mechanism) ซึ่งมีรากฐานมาจากแนวคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ผู้บุกเบิกจิตวิเคราะห์

 

ฟรอยด์เชื่อว่า กลไกป้องกันตนเองเกิดขึ้นในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อช่วยลดความวิตกกังวลที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง “อิด” (Id) ความต้องการตามสัญชาตญาณ, “อีโก้” (Ego) ตัวตนที่อยู่ในความเป็นจริง และ “ซุปเปอร์อีโก้” (Superego) ศีลธรรมและค่านิยมทางสังคม เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างสามส่วนนี้ จิตใจจะใช้ “กลไกป้องกัน” เพื่อรักษาสมดุลทางอารมณ์

 

 

แนวคิดพื้นฐาน

 

หนึ่งในแนวคิดสำคัญของจิตวิเคราะห์คือแนวคิดว่าเมื่อบุคคลประสบกับความขัดแย้งภายใน (internal conflict) หรือได้รับแรงกดดันจากภายนอก (external stressor) จนเกิดความวิตกกังวล (anxiety) จิตจะใช้กลไกบางอย่างที่เรียกว่า “กลไกการป้องกันตัวเอง” เพื่อช่วยให้สามารถดำรงตนอยู่ได้ โดยไม่ให้ความรู้สึก ความคิด หรือแรงขับที่ยุ่งยากไม่สบายใจ เข้าสู่จิตสำนึกจนเกินไป

 

Anna Freud ซึ่งเป็นลูกสาวของฟรอยด์ ได้ให้คำนิยามว่า กลไกการป้องกันตัวเองคือ “ทรัพยากรที่ไม่รู้ตัวซึ่งอีโก้ใช้เพื่อลดความตึงเครียดภายใน” โดยสรุปคือ กลไกเหล่านี้ช่วยให้บุคคลรับมือกับความรู้สึกที่ยากจะยอมรับได้ เช่น ความรู้สึกผิด ความรู้สึกเกลียดชัง หรือแรงขับที่ไม่เหมาะสมทางสังคม

 

 

ทำไมเราถึงใช้กลไกเหล่านี้

 

เมื่อบุคคลเผชิญกับความขัดแย้งภายใน เช่น ต้องการบางสิ่งแต่รู้สึกผิด หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ “แรงขับภายใน (id)” หรือ “มาตรฐานทางศีลธรรม (superego)” หรือ “โลกแห่งความเป็นจริง” มีข้อจำกัด อีโก้จึงต้องหาหนทางปกป้องจิตตนเองจากความวิตกกังวล ซึ่งบุคคลจะใช้กลไกการป้องกันตัวเองเข้ามาทำหน้าที่นี้ให้บุคคลลดความวิตกกังวล รู้สึกสบายใจชึ้น

 

นอกจากนี้ งานวิจัยสมัยใหม่ยังพบว่า การทำงานของกลไกเหล่านี้มีโครงสร้างเป็นลำดับชั้น (hierarchy) โดยกลไกระดับสูงคือที่มีการปรับตัวได้ดี และกลไกระดับต่ำคือที่อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือปัญหาทางจิตใจได้

 

 

ประเภทของกลไกที่พบบ่อย

 

แม้ว่าจะมีกลไกมากมาย แต่ขอหยิบยกตัวอย่างหลักที่พบบ่อยและมีการกล่าวถึงบ่อย ๆ ดังนี้:

 

  • Denial (การปฏิเสธ): การปฏิเสธยอมรับความจริง เพื่อไม่ให้ต้องรับรู้ความเจ็บปวด เช่น คนอาจไม่ยอมรับว่าแฟนผิด หรือว่าเขาเตรียมตัวสอบไม่ดี
  • Repression (การกดเก็บ): เป็นการลืมหรือไม่ยอมให้ความทรงจำหรือความรู้สึกที่เจ็บปวดเข้าสู่จิตสำนึก
  • Projection (การฉายภาพ, การโยนความผิด): การโยนความรู้สึกของตนเองที่ไม่ยอมรับ ไปยังผู้อื่น เช่น คนที่โกรธแต่ไม่ยอมรับว่าโกรธ อาจกล่าวว่าคนอื่นโกรธตนเอง
  • Displacement (การระบายออกทางอื่น): การโยกย้ายอารมณ์จากเป้าหมายที่อันตรายหรือไม่เหมาะสม ไปยังเป้าหมายที่ปลอดภัยกว่า เช่น โกรธเจ้านายกลับบ้านไปด่าแฟน
  • Rationalization (การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง): การหาเหตุผลที่ดูสมเหตุสมผล เพื่ออธิบายพฤติกรรมของตนเอง โดยไม่ยอมรับแรงขับภายในที่แท้จริง
  • Regression (การถอยกลับสู่พฤติกรรมก่อนหน้า): เมื่อเจอสถานการณ์กดดัน บุคคลอาจกลับไปใช้พฤติกรรมของเด็ก เช่น ร้องไห้ง่าย ติดของเล่น
  • Sublimation (การเปลี่ยนพลังลบเป็นสิ่งสร้างสรรค์): ถือเป็นกลไกระดับสูง คือการเปลี่ยนแรงขับที่อาจไม่เหมาะสม ให้เป็นกิจกรรมที่ยอมรับได้ เช่น เปลี่ยนความโกรธเป็นการเล่นกีฬา ศิลปะ
  • การระบุตัวตน (Identification): พยายามเลียนแบบบุคคลที่ชื่นชมเพื่อสร้างคุณค่าในตนเอง
  • การแยกส่วน (Isolation of affect): แยกอารมณ์ออกจากเหตุการณ์ เช่น เล่าเรื่องเจ็บปวดโดยไม่มีอารมณ์ร่วม

 

 

ผลดีและผลเสียของการใช้กลไก

 

การใช้กลไกการป้องกันตัวเองถือว่าเป็นเรื่องปกติและจำเป็นในชีวิต เพราะช่วยให้บุคคลผ่านช่วงเวลาที่ยากได้โดยไม่ล้มละลายทางอารมณ์

 

อย่างไรก็ตาม หากใช้บ่อยเกินไป หรือใช้กลไกระดับที่ไม่ปรับตัว (maladaptive) มากเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือความสัมพันธ์ที่มีปัญหา เช่น การใช้ “ปฏิเสธ” มากเกินไป อาจทำให้ไม่ยอมรับความจริงทั้งที่ควรจะจัดการได้ หรือใช้ “ฉายภาพหรือโยนความผิด” บ่อย ๆ อาจทำให้บุคคลไม่รับผิดชอบต่อตนเอง และมีปัญหากับผู้อื่น

 

 

ข้อเสนอแนะสำหรับการใช้ชีวิต

 

  • สังเกตพฤติกรรมของตัวเองว่า เมื่อเจอสถานการณ์กดดัน เราใช้กลไกอะไรบ้าง (เช่น ย้อนกลับไปใช้พฤติกรรมเดิม หรือ ระบายอารมณ์ไปที่คนอื่น)
  • ฝึกการระลึก (mindfulness) และเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก ให้มากขึ้น เพื่อที่จะลดการใช้กลไกที่ไม่ปรับตัวโดยไม่รู้ตัว
  • หากรู้สึกว่า “ใช้กลไกซ้ำ ๆ แล้วชีวิตไม่ได้พัฒนา” ให้พิจารณาการพบผู้เชี่ยวชาญทางจิตใจ

 

 

บทสรุป

 

กลไกป้องกันตนเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่เป็น “กลไกปกป้องจิตใจ” ที่ช่วยให้เราคงอยู่ในสังคมได้ แม้บางครั้งอาจทำให้เราไม่เผชิญกับความจริงโดยตรง การเรียนรู้ที่จะ “เห็น” กลไกเหล่านี้ทั้งในตนเองและผู้อื่น จึงเป็นก้าวแรกของความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในมนุษย์

 

 

 

อ้างอิง (References)

 

Cramer, P. (2015). Understanding defense mechanisms. American Journal of Psychiatry, 172(6), 530–539. https://doi.org/10.1176/appi.ajp.2015.15010024

 

Freud, A. (1936). The ego and the mechanisms of defense. International Universities Press.

 

Vaillant, G. E. (1992). Ego mechanisms of defense: A guide for clinicians and researchers. American Psychiatric Press.

 

 

 


 

 

 

บทความโดย

ผศ. ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม

 

Journal Club: Hope and Culture

 

Join us for our monthly Journal Club!

 

This month’s session will be led by Prof. Dr. David B. Feldman, Adjunct Professor at the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, and Professor at Santa Clara University.

 

  • Topic: Hope and Culture
  • Date & Time: Wednesday November 5th 2025 @ 12:15 – 1:15 PM
  • Location: Room 602, 6th Floor, Faculty of Psychology.

 

Reading is optional. Food snacks will be provided for those who register by November 4, 2025.

 

 

Student Exchange & Cross-Cultural Research Program 2025–2026

 

For CU Psychology Students Only

 

We’re excited to announce the launch of the Intercultural Development: Student Exchange & Cross-Cultural Research Program 2025–2026, a collaboration between the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, and Wenzhou–Kean University, China.

 

The program offers opportunities for students to gain research experience, intercultural skills, a visit to China, and international exposure.

 

  • How to apply: Submit CV + one-page statement to eastwestpsycu@gmail.com
  • Applications are open until 5 November 2025.

 

For more information, please visit
https://docs.google.com/document/d/1c329PV1XjkQ0-Y2r1PJkzSu-ZDtzz5-z/edit?usp=sharing&ouid=112298972943118648336&rtpof=true&sd=true

 

ทีมบริหารคณะจิตวิทยา เข้าพบอธิการบดีเนื่องในโอกาสรับตำแหน่งวาระใหม่

 

วันที่ 28 ต.ค. 2568 ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี นำคณะผู้บริหารคณะจิตวิทยา ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล รองคณบดี (บริหาร) ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ รองคณบดี (บริการวิชาการ) ผศ. ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน รองคณบดี (วิชาการ) อ. ดร.พูลทรัพย์ อารีกิจ รองคณบดี (กิจการนิสิต)  รศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้ช่วยคณบดี (วิรัชกิจ) คุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณเวณิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เข้าพบอธิการบดีเนื่องในโอกาสรับตำแหน่งวาระใหม่

 

 

 

 

คณะจิตวิทยาเข้าร่วมพิธีสมโภชและถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2568 ณ วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร

 

วันที่ 28 ตุลาคม 2568 คณะจิตวิทยา โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณเวณิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เข้าร่วมพิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทาน พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทานอุทิศถวาย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2568 ณ วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร

 

 

 

 

จุฬาฯ เฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

 

วันที่ 26 ตุลาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร นิสิตเก่า นิสิต และนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินไปในการอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ไปยังพระบรมมหาราชวัง

 

 

 

ในการนี้นิสิต บุคลากร และคณาจารย์คณะจิตวิทยา ได้เข้าร่วมการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทฯ ครั้งนี้ด้วย และทั้งนี้ คณะจิตวิทยา คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมเครื่องราชสักการะ และเครื่องทองน้อย ณ บริเวณถนนพญาไท

 

 

 

 

 

คณะจิตวิทยา ต้อนรับ Professor François-David Camps จาก Lumière University Lyon 2 และ Professor Barbara Smaniotto จาก Sorbonne Paris North University

 

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา รศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิรัชกิจ ร่วมด้วยคุณกรินทร์ วิลาวรณ์ หัวหน้างานบริการการศึกษาและวิรัชกิจ ได้ต้อนรับ Professor François-David Camps จาก Lumière University Lyon 2 และ Professor Barbara Smaniotto จาก Sorbonne Paris North University โดยทั้งสองท่านเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญในสาขา Psychopathology และการประเมินทางจิตวิทยาคลินิกด้วยวิธีการ Projective Tests เช่น Rorschach และ Thematic Apperception Test (TAT) การพูดคุยในครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นแนวทางการหารือเพื่อความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยในอนาคต