ข่าวและกิจกรรม

คณะจิตวิทยา จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะจิตวิทยา ครบรอบ 29 ปี วันที่ 7 กรกฎาคม 2568

 

วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะจิตวิทยา ครบรอบ 29 ปี
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา ผู้บริหาร บุคลากร และนิสิตคณะจิตวิทยา ให้การต้อนรับผู้แทนจากส่วนงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย ที่มาร่วมแสดงความยินดีในโอกาสวันครบรอบนี้

 

จากนั้นมีพิธีทำบุญเลี้ยงพระเพื่อเป็นสิริมงคลแก่คณะ และพิธีมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติ ศิษย์เก่าดีเด่น ประจำปี 2568
ให้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.อัจศรา ประเสริฐสิน

 

ในช่วงบ่ายมีการเสวนา หัวข้อ “29 ปี คณะจิตวิทยา สะท้อนอดีต สร้างอนาคต” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ (คณบดีคณะจิตวิทยาคนแรก) และ ศาสตราจารย์ ดร. ชัยพร วิชชาวุธ พร้อมกันนี้ได้มีคณาจารย์อาวุโสมาร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะจิตวิทยา และมุมมองต่อคณะจิตวิทยาในอนาคต

 

 

 

 

เนื่องจากติดภารกิจสำคัญเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ในช่วงสายของวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ร่วมแสดงความยินดีย้อนหลังกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ รองคณบดีคณะจิตวิทยา ในโอกาสที่คณะจิตวิทยาครบรอบ 29 ปี คณะจิตวิทยาขอขอบคุณท่านอธิการมา ณ ที่นี้

 

 

 

แสดงความยินดีกับคุณกุสุมา ลีลานราธิวัฒน์ ที่ได้รับเกียรติบัตร “นิสิตดีเด่น ระดับบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา พ.ศ. 2566”

 

คณะจิตวิทยา ขอแสดงความยินดีกับคุณกุสุมา ลีลานราธิวัฒน์ นิสิตระดับปริญญาเอก แขนงวิชาจิตวิทยาสังคม ที่ได้รับเกียรติบัตร “นิสิตดีเด่น ระดับบัณฑิตศึกษา ประจำปีการศึกษา พ.ศ. 2566” ลงวันที่ 17 เมษายน 2568

 

แสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีแห่งการสถาปนาคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ

 

วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วย คุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ และคณะผู้บริหาร บุคลากร และนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีแห่งการสถาปนาคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ อาคารมงกุฎสมมติวงศ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ

 

 

 

 

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนบางอย่างเกี่ยวกับความเจ็บป่วยทางจิตเวช

 

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ผู้คนในสังคมรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับการเจ็บป่วยทางจิตเวชมากขึ้นอย่างน่ายินดี อย่างไรก็ตาม ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ้าง ผู้เขียนขอออกตัวก่อนว่ามิได้เป็นนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวขาญด้านความเจ็บป่วยทางจิตเวช ตลอดจน Psychological Disorders ต่าง ๆ ผู้เขียนเป็นเพียงนักจิตวิทยาสังคมที่ตระหนักถึงความสำคัญของการสื่อสาร การส่งต่อข้อมูลในสังคม ดังนั้นจึงเขียนบทความนี้เพื่อแก้ไขความคลาดเคลื่อนบางอย่างที่ผู้เขียนสังเกตเห็นและพออธิบายได้ และคาดหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จุดประกายให้ผู้คนอยากศึกษาลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นในประเด็นที่ตนเองสนใจ

 

 


 

 

ขอเริ่มที่อาการหรือโรคที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดอย่าง “ซึมเศร้า”

 

“ตั้งแต่วันนั้นมา เขาเงียบไปเลยอะ ไม่รู้จะเป็นซึมเศร้าหรือเปล่า”

 

เมื่อเราพบเจอเรื่องสะเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสีย ความผิดหวังร้ายแรง หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ก็เป็นปกติที่คนเราจะเกิดภาวะซึมเศร้า อยู่ในอารมณ์ของความเสียใจ เจ็บปวด ผิดหวัง สงสัยหรือสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง เกิดอาการทางร่างกาย กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ ปวดหัว ปวดท้อง ไร้กะจิตกะใจ ฯลฯ อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป หากอาการเหล่านั้นจะค่อย ๆ ดีขึ้น ปรับตัวปรับใจให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้มากขึ้น ก็จะไม่เรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้า ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้านั้น ลักษณะอาการซึมเศร้าจะดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน พฤติกรรมการกิน การนอน การคิดการตัดสินใจ เปลี่ยนไปอย่างมาก จนบ่อยครั้งควบคุมไม่ได้ (เนื่องจากสารสื่อประสาทได้เสียสมดุลไป) ตลอดจนมีความคิดฆ่าตัวตาย หรือมีพฤติกรรมทำร้ายตนเอง ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างภาวะซึมเศร้าและโรคซึมเศร้า จะมีทั้งเรื่องความยาวนานต่อเนื่อง และความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งทางร่างกาย ความคิด และจิตใจ

 

เราทุกคนสามารถประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นได้จากแบบวัดอย่างง่าย ตามเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิตหรือโรงพยาบาลด้านจิตเวชต่าง ๆ เช่น  https://www.rama.mahidol.ac.th/depression_risk แต่ในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ ต้องเป็นการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งต้องมีการซักประวัติ และประเมินอาการต่าง ๆ โดยละเอียด ทั้งนี้ หากสังเกตอาการของตนเองและคนรอบข้างแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นั้นรบกวนชีวิตประจำวันมากเกินไป ไม่ต้องถึงขั้นที่ตอบใช่ทุกข้อ (ในแบบวัดข้างต้น) ก็สามารถพาตนเองหรือคนใกล้ชิดไปรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้ คิดเสียว่าความเจ็บป่วยทางกายหรือทางใจก็เหมือนกัน คือ พบไวหายเร็ว พบช้าหายยาก

 

“ก็เห็นร่าเริงดี ทำไมบอกว่าเป็นซึมเศร้า”

 

ผู้ที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้า ไม่จำเป็นที่จะต้องซึมเศร้าตลอดเวลา บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยใช้ชีวิตปกติ พูดคุยหรือเล่นมุกตลกได้ในตอนกลางวัน หรือเมื่ออยู่กับผู้คน แต่เกิดอารมณ์เศร้าหมองอย่างรุนแรง (ดิ่ง) ขึ้นมาในบางขณะ เช่น ช่วงเย็น ๆ โพล้เพล้ ๆ หรือในวันที่อากาศหมองหม่น หรือเมื่อพบเจอสิ่งกระตุ้น เช่น สถานการณ์ สถานที่ บุคคลที่เป็น stressor จะเห็นได้ว่าไม่ต่างจากเวลาเป็นไข้หวัด ที่ผู้ป่วยอาจจะไม่ได้ไข้ขึ้นสูงตัวร้อนตลอดเวลา แต่สมรรถภาพโดยรวมของร่างกายก็จะถดถอยลงกว่าปกติ เช่น ฟังก์ชั่นการคิด การตัดสินใจ การคงสมาธิในงาน เป็นต้น

 

 


 

 

ต่อมาที่อีกโรคที่ถูกพูดถึงบ่อย ๆ ในสังคม “ไบโพลาร์”

 

“เมื่อกี้อารมณ์แปรปรวนมาก เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวซึม ยังกับเป็นไบโพลาร์”

 

ไบโพลาร์ Bipolar Disorder มีชื่อไทยว่า โรคอารมณ์สองขั้ว หรือบ้างก็เรียก โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว จึงอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่าการที่มีอารมณ์แปรปรวนในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น หัวเราะขึ้นมาในตอนที่กำลังเศร้า หรือจู่ ๆ โมโหขึ้นมาแล้วก็กลับมาคุยปกติ คือลักษณะของไบโพลาร์ด้วย

 

ที่จริงแล้วอารมณ์ของคนเราก็เหมือนสภาพอากาศ (weather) ที่หนึ่งวันเราสามารถมีได้หลายอารมณ์ เช้าครึ้ม สายแดดออก เที่ยงฝนตก หัวค่ำร้อน ย่ำรุ่งหนาว และในวันที่มีเรื่องกระทบมาก ๆ (มรสุมเข้า) หรือเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง (เข้าสู่วัยรุ่น ตั้งครรภ์ วัยทอง) อารมณ์ของเราก็สามารถแปรเปลี่ยนได้รายนาที การเปลี่ยนอารมณ์ในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ (mood swing) นี้ไม่ใช่ลักษณะอาการของไบโพลาร์แต่อย่างใด

 

ให้เปรียบเทียบแล้วความแปรปรวนของไบโพลาร์จะเกือบคล้ายฤดูกาล (season) มากกว่า โดยแบ่งเป็น 2 ฤดูหลักคือ ฤดูเศร้า (depress) และ ฤดูคึก (mania) ในฤดูหนึ่งมีความยาวนานต่อเนื่องหลายวัน หนึ่งสัปดาห์เป็นอย่างน้อย หรือยาวนานได้หลายสัปดาห์ ซึ่งเมื่อเข้าฤดูไหนก็จะอยู่ในอารมณ์นั้นอย่างที่มากเกินกว่าในระดับปกติอย่างสังเกตเห็นได้ เช่น เมื่ออยู่ในฤดูเศร้า ก็ดิ่ง เศร้า หดหู ไร้เรี่ยวแรง ไม่มีสมาธิ คิดช้า คิดลบ มีความคิดฆ่าตัวตาย (เหมือนโรคซึมเศร้า) แต่เมื่อสลับมาอยู่ในฤดูคึก ก็จะมีพลัง พูดไม่หยุด ขี้หงุดหงิด หุนหันพลันแล่น ใช้จ่ายไม่ยั้งคิด เชื่อมั่นในตนเองสูง เรียกว่าพอเปลี่ยนฤดูก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และสิ่งที่เกิดขึ้นรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน สร้างปัญหาในรูปแบบที่ต่างกันให้กับตัวผู้ป่วยเอง (อาการ – สาเหตุ – การรักษา)

 

ดังนั้น หากต้องการจะพูดถึงกรณีที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงในระยะสั้น ๆ หลักชั่วโมงหรือหลักนาที อาจใช้คำว่า อารมณ์แปรปรวน หรือ mood swing ได้ เพื่อป้องกันการส่งต่อข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และลดทอนความร้ายแรงของโรคไป

 

 


 

 

อีกโรคหนึ่งที่เคยถูกพูดถึงในละครไทยสมัยก่อน และสร้างความเข้าใจผิดอย่างมาก “ฮิสทีเรีย”

 

เคยมีละครไทยสมัยก่อน ผู้เขียนจำไม่ได้จริง ๆ ว่าเรื่องอะไร แต่จำได้ว่า มีตัวละครหญิงตัวหนึ่งมีลักษณะของผู้ที่มีความต้องการทางเพศสูง และแสดงท่าทีทรมาน จนกว่าจะได้มีเพศสัมพันธ์กับพระเอกตามที่ต้องการ และตัวละครตัวนั้นถูกบอกว่าป่วยเป็นโรคฮิสทีเรีย จนผู้คนในสังคมขณะนั้นเข้าใจว่าโรคฮิสทีเรียคือโรคติดเซ็กส์ หรือขาดผู้ชายไม่ได้

โรคเสพติดเซ็กส์เป็นโรคที่มีอยู่จริง เรียกว่า Sex addiction / Hypersexuality / Compulsive Sexual Behavior (อ่านเพิ่มเติม) ส่วนโรคบุคลิกภาพแบบฮิสทีเรียนั้น หากให้ระบุด้วยคำจำกัดความง่าย ๆ เราจะใช้คำว่า โรคขาดความรัก เสียมากกว่า มีสาเหตุได้ทั้งทางพันธุกรรม การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม การเผชิญเหตุการณ์ที่รุนแรงในวัยเด็ก ทำให้บุคคลโหยหาความรักความสนใจ ในระดับที่ไม่สามารถควบคุมความวิตกกังวลได้ มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง เมื่อรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความสนใจ จะเกิดความวิตกกังวล อึดอัด และแสดงพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจ เช่น ทำตนให้เป็นจุดเด่น แสดงอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง หรือถึงขั้นทำร้ายตนเอง (อ่านเพิ่มเติม)

 

 


 

 

มาที่โรคที่กำลังเป็นที่สนใจในปัจจุบัน “โรคหลงตนเอง”

 

คล้ายกับซึมเศร้า คือคนทุกคนก็มีความหลงตนเองได้ แค่มากหรือน้อย โดยความแตกต่างของผู้มีลักษณะหลงตนเองสูง (High Narcissism) กับ ผู้ที่เป็นโรคหลงตนเอง (Narcissistic Personality Disorder: NPD) จะมีทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ คือผู้ที่หลงตนเองสูงธรรมดา จะไม่ได้หลงตัวเองตลอดเวลาหรือในทุกเรื่อง อาจจะแสดงความหลงตนเองออกมาในเรื่องที่มั่นใจและให้ความสำคัญ เช่นเวลาที่มีการทดสอบ การแข่งขัน การเลื่อนตำแหน่ง เรียกว่ามีความหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง – จนลืมนึกถึงคนอื่น เกรงใจคนอื่น – ในบางด้านของชีวิต แต่ไม่ถึงกับทั้งหมด ส่วนผู้ที่เป็นโรคหลงตนเอง จะมีความต้องการการชื่นชมที่มากเกินไปจนไร้เหตุผล เชื่อในความพิเศษความเหนือกว่าของตน จนรู้สึกมีความสุขกับการฝ่าฝืนกฎหรือละเมิดขอบเขต ไม่ละอายในการบิดเบือนข้อเท็จจริง คิดอย่างเห็นอกเห็นใจไม่เป็น ทำให้มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างผิวเผิน เอารัดเอาเปรียบ หรือ gaslight ผู้อื่น เชื่อว่าคนอื่นอิจฉาตนเอง และตอบโต้คำวิจารณ์ด้วยความโกรธและการดูถูก

 

จะเห็นว่าคนที่มีลักษณะหลงตนเองสูงธรรมดาจะยังอยู่ในโลกของความเป็นจริง อาจจะมีมุมที่คิดเข้าข้างตนเอง และเป็น manipulator ในบางครั้ง แต่ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น NPD จะมีการรับรู้ที่แตกต่างจากคนทั่วไป มีความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล และมองความความสัมพันธ์เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนเท่านั้น

 

เช่นเดียวกับโรคและลักษณะทางจิตเวชอื่น ๆ การประเมินในเบื้องต้นเพื่อหาแนวทางการรับมือโดยส่วนตัวเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ แต่การระบุว่าใครเป็นอย่างไรจะเป็นการตีตราบุคคล จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีการตรวจวัดอย่างรอบคอบ และได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว

 

 


 

 

ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผู้เขียนอยากพูดถึง แต่อาจจะเป็นในบทความหน้า เช่น โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) ความหวาดกลัว (Phobia) โรคแพนิค (Panic Disorder) ภาวะสมาธิสั้นในเด็ก ฯลฯ ก่อนจะจบ จึงขอส่งท้ายบทความนี้ด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกับขั้นตอนการรักษา เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยเองตลอดจนคนใกล้ชิดที่จะช่วยดูแล

 

“ดีขึ้นแล้วนี่นา เลิกกินยาได้แล้วสิ”

“หายแล้วแท้ ๆ ทำไมกลับมาป่วยอีกนะ”

 

ผู้เขียนชอบเปรียบเทียบโรคทางใจกับโรคทางกาย เพราะดูเหมือนว่าโรคทางกายนั้นจะเข้าใจได้ง่ายกว่า กล่าวคือ เราทุกคนน่าจะพอเข้าใจว่าหลาย ๆ โรค อย่างเช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง หรือโรคกระเพาะ เป็นโรคที่เกิดจากทั้งความแตกต่างทางพันธุกรรม ผสมรวมกับรูปแบบการใช้ชีวิตและสภาวะแวดล้อมที่เผชิญ และกว่าจะถึงจุดที่เป็นโรค ก็เกิดจากการสะสมบางสิ่งบางอย่างเป็นระยะเวลานาน แน่นอนว่าในการรักษาก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน บางครั้งใช้การควบคุมพฤติกรรมได้ บางกรณีต้องใช้ยาช่วย บางกรณีเมื่อควบคุมด้วยยาได้แล้ว สามารถประคองต่อด้วยการปรับพฤติกรรมได้ บางคราวก็ต้องประคองด้วยยาไปตลอดชีวิต หรือกลับมากินยาอีกเมื่ออาการแย่ลง (เรียกว่าเป็นวงการที่พอเข้ามาแล้วไม่ค่อยได้ออก)

 

อาการเจ็บป่วยทางจิตเวชก็เช่นกัน กว่าจะถึงจุดที่กลายเป็นโรคก็สะสมทับถมมาด้วยกาลเวลา ในการบำบัดรักษานั้นจึงต้องใช้เวลาไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย โดยทั่วไป เมื่อเริ่มเข้ารับการรักษา ในการบำบัดหรือการใช้ยาช่วงต้นอาจจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนเพื่อให้อาการสงบ และหากอาการดีขึ้น มีการตอบสนองต่อการรักษา ก็ยังต้องมีการรักษาต่อเนื่องต่อไปเพื่อให้อาการคงที่ ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกอย่างน้อย ๆ 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือบางเคสที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมเดิมได้ เผชิญสิ่งกระตุ้นเร้าตลอด ก็อาจต้องใช้เวลาไปอีกหลายปี (หากเป็นโรคจิตเภท หรือพวก Personality Disorder จะใช้เวลานานกว่านั้นมาก หรือตลอดชีวิต)

 

อีกเรื่องที่สำคัญ คือการกินยาทางจิตเวชก็เหมือนกับการกินยาฆ่าเชื้อ คือเมื่อกินก็ต้องกินให้ครบโดสตามที่หมอจ่าย ยาทางจิตเวชนั้นส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ หลายคนเมื่อเห็นว่าตนอาการดีขึ้นจึงเลือกที่จะหยุดยาหรือลดยาเอง ซึ่งนั่นจะส่งผลเสียแทน เพราะยาทางจิตเวชนั้นทำงานกับสารสื่อประสาทเพื่อให้กลับเข้าสู่สภาวะสมดุล การลดหรือการหยุดยาก่อนกำหนดจะทำให้การปรับตัวของสมองกับสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทนั้นเสียไป ทำให้เกิดภาวะถอนยาได้ เช่น คลื่นไส้ วูบ นอนไม่หลับ (มากกว่าเดิม) และอาจจะทำให้การรักษาต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ หรือได้รับโดสยาเพิ่มขึ้น หากผู้ป่วยรู้สึกรับผลข้างเคียงของยาไม่ไหว หรือรู้สึกผิดปกติ สามารถแจ้งแก่แพทย์ได้โดยตรงเพื่อให้แพทย์พิจารณาปรับโดสยาหรือเปลี่ยนตัวยาให้ หรือแม้กระทั่งตัวแพทย์เอง หากผู้ป่วยรู้สึกไม่สะดวกใจกับแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่ให้บริการอยู่ ก็สามารถขอเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนนักจิตวิทยา หรือเปลี่ยนโรงพยาบาลได้เช่นกัน ไม่ต่างกับที่เราป่วยด้วยโรคอื่น ๆ ที่เราอาจจะรู้สึก ไม่ถูกโรค ไม่ถูกใจ กับการตรวจรักษา ตลอดจนคำพูดและท่าทีของผู้ให้บริการบางคน

 

 

ผลสัมฤทธิ์ของการบำบัดรักษาขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือผู้ป่วยเอง ที่จะยอมรับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น มีความเข้าใจในสภาวะที่ตนกำลังเผชิญ มีความเมตตาต่อตัวเอง และมีความคาดหวังที่ถูกต้อง เพื่อที่จะไม่ผิดหวังหรือท้อแท้ใจ กลายเป็นความทุกข์ซ้ำซ้อน อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่ามันจะไม่น่าเกิด หรือเราไม่อยากให้เกิดก็ตาม

 

 

 

 

บทความโดย
รวิตา ระย้านิล
นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

แสดงความยินดีกับ รองศาสตราจารย์ ดร.อัจศรา ประเสริฐสิน ที่ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น “ศิษย์เก่าดีเด่น” ของคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี พ.ศ. 2568

 

คณะจิตวิทยา ขอแสดงความยินดีกับ รองศาสตราจารย์ ดร.อัจศรา ประเสริฐสิน ที่ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น “ศิษย์เก่าดีเด่น” ของคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี พ.ศ. 2568 ประเภทนักวิชาการ นักวิจัย

 

 

 

 

โดยมีพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ในงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะจิตวิทยา จุฬาฯ ครบรอบ 29 ปี วันที่ 7 กรกฎาคม 2567

 

 

การบรรยายพิเศษ เรื่อง “Applied Psychology in Italy and the International ICUP Model”

 

วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 แขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดกิจกรรมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Applied Psychology in Italy and the International ICUP Model” โดยได้รับเกียรติจาก Honorary Professor Remo Job นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาระดับนานาชาติจากยุโรป ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย

 

 

 

การบรรยายครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเปิดมุมมองใหม่ทางวิชาการและการวิจัยในสาขาจิตวิทยาประยุกต์ ให้กับนักศึกษา คณาจารย์ และผู้สนใจด้านจิตวิทยา โดยได้รับความสนใจและการตอบรับจากผู้เข้าร่วมเป็นอย่างมาก

 

 


 

 

 

 

เหมือนกันแค่ไหน…ก็สุขใจแค่นั้น

 

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เลือกแต่งงานด้วยความรัก ไม่ใช่หน้าที่ การมีชีวิตคู่ที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน อาจกลายเป็น “เป้าหมายของชีวิต” ไม่ต่างจากความสำเร็จในอาชีพการงานหรือการพัฒนาตัวเองเลย นี่จึงนำมาสู่อีกหนึ่งคำถามสำคัญว่า “อะไรที่ทำให้ชีวิตคู่มีความสุข โดยเฉพาะในยุคนี้ที่คนมองหาความสัมพันธ์ที่ ‘เติบโตไปด้วยกัน’ ไม่ใช่แค่รักกันเฉยๆ?”

 

งานวิจัยจากแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ และ ดร.วันทิพย์ ชวลีมานนท์ ในหัวข้อ Similarity conquers all: A dyadic study of the Big Five’s extraversion similarity and the Michelangelo phenomenon on marital satisfaction in the Thai context ผนวกเอาแนวคิดทางจิตวิทยาที่สำคัญมาอธิบายถึงความสุขในคู่รักหรือคู่สมรสไว้อย่างน่าสนใจ

 

 

 

เติมเต็มเพื่อไปต่อ: ปรากฏการณ์ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo Phenomenon)


 

 

แนวคิดนี้ชื่ออาจฟังดูไกลตัว แต่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกคน เมื่ออยู่ถูกที่ ถูกคน และถูกเวลา!

 

นักจิตวิทยาสังคมอธิบายว่า Michelangelo Phenomenon คือกระบวนการที่คู่รัก (หรือคนใกล้ชิด) ช่วย “สนับสนุน” และ “ส่งเสริม” ให้อีกฝ่ายพัฒนาไปสู่ “ตัวตนในอุดมคติ” (ideal self) หรือ “สิ่งที่เขาอยากเป็น” โดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงเขาให้เป็นอย่างที่เราต้องการ พูดง่ายๆ คือ คนที่เรารักจะช่วยให้เรา “เป็นตัวของตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด” ได้จริง

 

องค์ประกอบหลักของ Michelangelo Phenomenon ได้แก่

 

  1. Partner Affirmation (การยืนยันตัวตนในอุดมคติของอีกฝ่าย):
    การที่คนรัก “มองเห็น” ตัวตนอุดมคติของเรา และสนับสนุนพฤติกรรม คำพูด การตัดสินใจ หรือการเลือกต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายเหล่านั้น
  2. Self-Movement Toward the Ideal Self (การเข้าใกล้ตัวตนในอุดมคติ):
    เมื่อได้รับการยืนยันตัวตนอย่างต่อเนื่อง เราจะรู้สึกมั่นใจ และมีแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่สิ่งที่เราใฝ่ฝันจริง ๆ เช่น กล้าทำงานใหม่ๆ หรือกล้าพัฒนาทักษะที่เราไม่เคยมีมาก่อน
  3. Dyadic Outcome (ผลลัพธ์ของคู่):
    เมื่อทั้งสองฝ่ายช่วย “แกะสลัก” กันและกันอย่างเข้าใจ ไม่บังคับ ความสัมพันธ์จะยิ่งแน่นแฟ้นและมีความสุขมากขึ้น

 

คู่รักที่เกิดปรากฏการณ์นี้ มักจะ “แกะสลัก” ตัวตนของอีกฝ่ายให้ค่อย ๆ ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาอยากเป็น เหมือนศิลปินระดับโลก Michelangelo ที่แกะหินให้เป็นงานศิลปะ ซึ่งในบริบทของความสัมพันธ์แบบคู่รัก นั่นคือการ “ยืนยันตัวตน” ของกันและกัน (partner affirmation) เช่น สนับสนุนกันในสิ่งที่อีกฝ่ายวาดฝันไว้ ให้กำลังใจเวลาทำอะไรใหม่ๆ ไม่ตัดสิน และไม่ดูถูก การสนับสนุนในลักษณะนี้ทำให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง มีความหมาย และส่งผลต่อความยั่งยืนและความพึงพอใจในความสัมพันธ์เป็นอย่างมาก

 

ตัวอย่างในชีวิตจริง:

  • คนรักที่รู้ว่าเราฝันอยากเปิดร้านกาแฟ แล้วคอยสนับสนุนให้เราไปเรียนบาริสตา ชวนดูร้านต่าง ๆ และไม่มองว่านั่นเป็นความฝันไร้สาระ — นั่นคือเขากำลัง “ยืนยันตัวตนในอุดมคติ” ของเรา
  • หรือเมื่อคู่ของเรารู้ว่าเราพยายามควบคุมอารมณ์ เขาจึงไม่ตอกย้ำข้อผิดพลาด แต่ให้โอกาสและให้กำลังใจ — นั่นก็เป็นการช่วยให้เราเข้าใกล้กับตัวตนอุดมคติของเรา

 

ข้อสังเกตคือ Michelangelo Phenomenon ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนรักให้เป็นอย่างที่เราต้องการแต่เป็นการสนับสนุนให้เขาเป็นอย่างที่เขาอยากเป็นจริง ๆ เท่านั้น

 

 

 

“ความเหมือน” ที่ทำให้รักยืนยาว: บุคลิกภาพคล้ายกัน ช่วยให้ชีวิตคู่แฮปปี้จริงหรือ?


 

 

แนวคิดต่อมาที่ถูกหยิบมาเป็นฐานในการสร้างกรอบแนวคิดงานวิจัยชิ้นนี้ คือ ความเข้ากันได้หรือความคล้ายคลึงกัน (Similarity) ซึ่งงานวิจัยทางจิตวิทยาสังคมจำนวนมากต่างก็พบหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่า “ความเหมือนกัน” อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ราบรื่นและยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อพูดถึง “บุคลิกภาพ” (Personality) โดยในงานวิจัยนี้ ได้หยิบเอาบุคลิกภาพห้าองค์ประกอบ (Big Five Personality) ด้าน “ความเข้าสังคม” (Extraversion) มาศึกษา เนื่องด้วยผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบเข้าสังคม มักมีลักษณะเปิดเผย ร่าเริง เป็นมิตร อันเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ส่งผลต่อการสื่อสาร และการแสดงออกในความสัมพันธ์โดยตรง

 

นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ยังใช้วิธีการศึกษาแบบ Actor–Partner Interdependence Model (APIM) ซึ่งใช้ศึกษาความสัมพันธ์แบบคู่ได้อย่างซับซ้อนและละเอียดมากขึ้น ในกลุ่มตัวอย่าง “คู่แต่งงานใหม่” ชาวไทย จำนวน 201 คู่ (แต่งงานไม่เกิน 5 ปี อายุเฉลี่ย 31 ปี) โดยให้ทั้งสองฝ่ายประเมินบุคลิกภาพของตนเอง และคู่ของตน รวมถึงการรับ-ให้การยืนยันตัวตนในอุดมคติ และความพึงพอใจในชีวิตสมรส

 

ผลการวิจัย พบว่า สามีที่มีบุคลิกภาพแบบเข้าสังคมสูง และมีการยืนยันตัวตนในอุดมคติกับภรรยา จะรู้สึกพึงพอใจในชีวิตสมรสในระดับสูง ซึ่งอาจสะท้อนว่า “บทบาทผู้นำ” ที่มาพร้อมความเปิดเผยและการสนับสนุน ทำให้ชีวิตคู่มั่นคง ในขณะเดียวกันภรรยาที่มีบุคลิกภาพแบบเข้าสังคมสูง และมีการรับ-ให้การยืนยันตัวตนในอุดมคติแก่คู่ของตน ก็มีความสุขในชีวิตสมรสในระดับสูงเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจเกิดจากพลังบวกที่ส่งไป-กลับในความสัมพันธ์นั่นเอง กล่าวได้ว่า คู่รักที่มีบุคลิกภาพ “คล้ายคลึงกัน” ด้านการเข้าสังคม จะยิ่งส่งเสริมกันได้ดีขึ้น เพราะเข้าใจกัน สื่อสารได้ราบรื่น ทำให้สามารถสนับสนุนคู่ของตน ผ่านการยืนยันตัวตนในอุดมคติ และโอกาส “เติบโตไปด้วยกัน” สูงและยั่งยืนกว่านั่นเอง

 

แม้ Michelangelo phenomenon จะเป็นแนวคิดที่มาจากโลกตะวันตก เน้นการเป็นตัวของตัวเอง แต่งานวิจัยชิ้นนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า คนไทยก็มีรูปแบบการสนับสนุนคู่ชีวิตให้เติบโตได้เหมือนกัน แม้เราจะอยู่ในวัฒนธรรม “เกรงใจ-แคร์ความรู้สึก” แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้แสดงความรักผ่านการสนับสนุนแบบจริงใจ โดยเฉพาะในคู่ที่มี “ความคล้ายกัน” และ “สื่อสารกันได้ดี”

 

 

 

งานวิจัยชิ้นนี้ อาจสะท้อนให้เห็นว่า การเป็นคู่ที่มีความสุข ไม่ได้อยู่ที่แค่ “รักกัน” แต่เป็น “รักในแบบที่เข้าใจ และอยากให้เขาเติบโตไปสู่สิ่งที่เขาอยากเป็น” และหากคู่ของคุณมีนิสัยคล้ายกัน (เช่น เข้าสังคมพอกัน ไม่ใช่คนหนึ่งชอบปาร์ตี้ อีกคนชอบอยู่เงียบๆ) ก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่เสริมให้ “การยืนยันตัวตนในอุดมคติ” เป็นไปได้ง่ายมากขึ้น

 

หากคุณรู้สึกว่า คุณและคู่ของคุณ ต่างก็สนับสนุนให้แต่ละฝ่ายได้เป็นตัวของตัวเองเพื่อไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของกันและกัน จนรู้สึกรักกันมากขึ้น คุณอาจจะเป็นนักแกะสลักตามแนวคิดปรากฏการณ์ “ไมเคิลแองเจโล” อยู่ก็เป็นได้นะคะ 😊

 

 

 

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/kjss/article/view/267905/180902

 

 

 

รายการอ้างอิง

Chawaleemaporn, W., & Isaranon, Y. (2023). Similarity conquers all: A dyadic study of the Big Five’s extraversion similarity and the Michelangelo phenomenon on marital satisfaction in the Thai context. Kasetsart Journal of Social Sciences, 44(3), 769–780. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/kjss/article/view/267905

 

 

 


 

 

 

บทความโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์

รองคณบดี อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม และแขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์

ความดึงดูดใจระหว่างบุคคล – Interpersonal attraction

 

ความดึงดูดใจระหว่างบุคคล คือ แนวโน้มของบุคคลที่มีต่อการประเมินบุคคลหรือสัญลักษณ์ของบุคคลนั้นในทางบวกหรือทางลบ และอาจรวมถึงความรู้สึกและแนวโน้มของพฤติกรรมที่จะเข้าหาหรือหลีกเลี่ยงบุคคลนั้น

 

การอยู่ร่วมกันในสังคม ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม ประเด็นสำคัญที่มีส่วนทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลคือความรู้สึกประทับใจที่เกิดขึ้นเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งความดึงดูดใจระหว่างบุคคลเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถ้าแต่ละฝ่ายสามารถสร้างความชอบพอดึงดูดใจต่อกันได้ ย่อมเป็นโอกาสที่ดีต่อความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

 

 

 

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความชอบพอดึงดูดในนั้นมีดังต่อไปนี้

 

 

1. ความใกล้ชิดสนิทสนม (Proximity)

การที่บุคคลได้พบปะกันบ่อย ๆ เปิดโอกาสให้ต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้กันมากขึ้น ทำให้ค้นพบว่ามีความสนใจ ความคิดเห็น และค่านิยมที่คล้ายคลึงกัน

 

2. ความคล้ายคลึง (Similarity)

เราชอบคนที่คล้ายคลึงกับเรา ไม่ว่าทางด้านเจตคติ ค่านิยม ความเชื่อ รวมไปถึงลักษณะทางสังคมวิทยา เช่น อายุ การศึกษา สถานภาพทางสังคม ยิ่งบุคคลมีความคล้ายคลึงกันมากเท่าไร ก็มีผลต่อความดึงดูดใจระหว่างกันมากยิ่งขึ้น อาจเป็นเพราะเราชอบความสัมพันธ์ที่สอดคล้องหรือสมดุล อีกทั้งคนที่มีความคล้ายคลึงกับเรายังช่วยสนับสนุนและยืนยันความถูกต้องต่อเจตคติและความเชื่อของเรา

 

3. การตอบแทนกัน (Reciprocity)

การที่เรารับรู้ว่าบุคคลอื่นนั้นชอบเรา เรามักจะชอบเขาตอบ และในทางตรงกันข้ามเมื่อเรารับรู้ว่าบุคคลนั้นไม่ชอบเรา เราก็มักจะไม่ชอบเขาเช่นกัน ความรู้สึกเหล่านี้เป็นการย้อนกลับซึ่งกันและกัน

 

4. ความดึงดูดในทางกายภาพ (Physical attractiveness) และ ลักษณะส่วนบุคคล (Personal characteristic)

สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพเป็นสิ่งแรกที่เราสามารถสังเกตเห็น และเราตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการรับรู้ว่า “สิ่งที่สวยงามเป็นสิ่งที่ดี” ธรรมชาติของคนเรามักชอบสิ่งที่สวยงามและมีแนวโน้มจะมีความลำเอียงไปทางบุคคลหรือสิ่งที่สวยงามได้ง่ายกว่า โดยการวิจัยพบว่าความดึงดูดใจทางกายภาพมีอิทธิพลต่อคนเราไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง แม้ว่าความต้องการคู่ครองที่มีความดึงดูดใจทางกายภาพของเพศหญิงจะมีน้อยกว่าของเพศชายก็ตาม

 

5. การเติมเต็มซึ่งกันและกัน (Complementarity)

เมื่อความต้องการของบุคคลสองคนเป็นไปในลักษณะที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน ความดึงดูดใจจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ความต้องการของบุคคลทั้งสองจะเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ก็ต่อเมื่อ 1) ความต้องการนั้นมีความแตกต่างไปในเรื่องของประเภท แต่มีระดับความต้องการพอ ๆ กัน เช่น คนที่ชอบดูแลผู้อื่นมากย่อมเข้าคู่กับคนที่ต้องการการดูแลมาก 2) ความต้องการนั้นจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน แต่มีระดับของความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น คนที่ชอบควบคุมผู้อื่นย่อมชอบพอคนที่ไม่ต้องการควบคุมใคร

 

 

 


 

 

 

ข้อมูลจาก

 

 

ธนิตา เบ็งสงวน. (2551). อิทธิพลของการพึ่งพาทางอารมณ์ เจตคติต่อบุคคลที่สาม และความคล้ายคลึงต่อความดึงดูดใจระหว่างบุคคล [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2008.258

 

อนุรักษ์ แท่นทอง. (2548). ความดึงดูดใจระหว่างบุคคลและรูปแบบความผูกพัน: รูปแบบที่คล้ายคลึงกับตน รูปแบบที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน และรูปแบบความผูกพันแบบมั่นคง [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2005.173

 

ขอแสดงความยินดีกับ คุณนุสบา สมพานิช ในโอกาสได้รับทุน The 2025 FULBRIGHT Junior Research Scholarship Program

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ คุณนุสบา สมพานิช นิสิตดุษฎีบัณฑิต แขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (นิสิตในที่ปรึกษาของ ศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ และ อ. ดร.พจ ธรรมพีร) ในโอกาสได้รับทุน The 2025 FULBRIGHT Junior Research Scholarship Program (JRS) เพื่อเดินทางไปทำงานวิจัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 6 เดือน

 

ขอแสดงความยินดีกับ ศาสตราจารย์ ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ ที่ได้ดำรงตำแหน่ง “นายกสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย”

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ ศาสตราจารย์ ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ ผู้อำนวยการหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาจิตวิทยา ประธานแขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาฯ
ที่ได้ดำรงตำแหน่ง “นายกสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย” วาระการดำเนินงานปี พ.ศ. 2568-2571

 

โดยมีพิธีส่งมอบตำแหน่งในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมปาริชาต ชั้น 3 โรงแรมโกลเดน ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ