คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการเสวนาออนไลน์ เรื่อง
“ใจนิ่ง…ในวันที่โลกไม่แน่นอน : จิตวิทยาในการรับมือภัยพิบัติ”
ในวันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน 2568 เวลา 17.00-18.00 น.
LIVE ทางเพจ Psychology CU
ร่วมเสวนาโดย
-
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์
(ผู้ดำเนินการเสวนา) คณบดีคณะจิตวิทยา และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
-
ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตกุล
รองคณบดี หัวหน้าศูนย์จิตวิทยาเพื่อประสิทธิภาพองค์กร (PSYCH-CEO) อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
-
รศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี
ผู้ช่วยคณบดี และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
-
ผศ. ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน
ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
-
รศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
สรุปการเสวนา
คำถาม – เมื่อเจอเหตุการณ์ภัยพิบัติ เราควรเริ่มดูแลจิตใจตนเองอย่างไร
รศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี (อ.กล้า)
อย่างแรก เราต้องสร้างความคาดหวังที่เหมาะสม คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะบอกว่าเราไม่กังวลเลย เริ่มจากการแยกคำสองคำให้ออก ณ สถานการณ์ปัจจุบัน เราเพิ่งผ่านเหตุการณ์ภัยพิบัติมายังไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ เรา “กังวล” ได้ แต่อย่า “วิตกกังวล” การดูแลจิตใจนั้นเราต้องเริ่มจากการตั้งคำถามก่อนว่า เรากังวล หรือ วิตกกังวล ถ้าวิตกกังวลจะมีองค์ประกอบสามอย่าง 1. มีอาการทางกาย ใจเต้น ใจสั่น กลัว เหงื่อแตก 2. มีอาการทางความคิด คิดซ้ำ ๆ วนไปวนมาเกี่ยวกับสถานการณ์ร้าย ๆ ที่จะเกิดขึ้น 3. หลีกหนีเหตุการณ์ หลีกหนีสถานการณ์ สถานที่ หรือสิ่งแวดล้อมที่เรากังวล ถ้าครบสามองค์ประกอบนี้จะเป็นวิตกกังวล เวลาที่เราวิตกกังวลจะทำให้เราระแวง
เบื้องต้น ถ้าเรากังวล ในสถานการณ์ที่ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ กังวลเถอะ กังวลได้ เวลากังวลเรามีสิทธิที่จะคิดซ้ำ ๆ มีสิทธิที่จะคิดกังวล แต่ไม่อยากให้ถึงกับมีอาการทางกาย ถ้ามีอาการทางกายเราอาจจำเป็นที่ต้องการความช่วยเหลือ เวลาที่เรากังวลเราจะระวัง แต่เมื่อไรก็ตามที่ความกังวลของเราแปลงร่างกลายเป็นไปวิตกกังวล คราวนี้เราจะระแวง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตัวของเราจะแตกต่างกัน ณ เหตุการณ์ปัจจุบันเรากังวลได้ เรามีสิทธิในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง กับเหตุการณ์ที่เป็นขนาดใหญ่ ที่พลังของธรรมชาติกำลังสั่งสอนอะไรเราบางอย่าง เรากังวลได้แต่อย่าให้มันเกินขอบเขตไปที่วิตกกังวล
เวลาเราดูแลจิตใจตัวเอง อย่าคาดหวังเกินไปว่าเราจะใจนิ่งเป็นน้ำ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงเป็นไปไม่ได้ ตั้งความคาดหวังกับตัวเราให้เหมาะสม
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ (อ.เติ้น) สรุป
คือให้ยอมรับในความกังวลนั้น เพราะถ้าไม่ยอมรับ มันอาจขยายต่อไปเป็นเรื่องอื่น ตอนนี้พวกเราทุกคนถูกสั่นสะเทือนด้วยพลังของธรรมชาติ เราคงต้องยอมรับกับความหวั่นไหว ความกังวลที่เกิดขึ้น แต่อย่าให้มันข้ามไปเป็นการวิตกกังวล โดยการสังเกตดูสามอย่าง คืออาการทางกาย ทางความคิด และการหลีกหนี ถ้ามันมีทั้งสามอย่างนี้แสดงว่ามันมีการยกระดับ และเราต้องทำอะไรบางอย่าง
ในฐานะพ่อแม่เราควรจะสื่อสารกับลูก ๆ อย่างไร เมื่อเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
ผศ. ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน (อ.นีท)
ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เท่าที่ได้สำรวจเก็บข้อมูล ดูจากในโซเชียลมีเดียและคนใกล้ตัว พบว่ามีเด็ก 2 แบบ คือเด็กที่อยู่ในเหตุการณ์ตรง ๆ คืออาจจะอยู่ในอาคารสูง ณ ตอนที่เกิดเหตุการณ์ เขาก็จะมีความรู้สึกกระทบใจมาก เพราะเขาอยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องเดินลง ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีบ้านสั่น เพราะฉะนั้นเด็กเขาจะทำตามที่โรงเรียนสอน ซึ่งเด็กส่วนใหญ่เขาทำได้ เด็กลงไปใต้โต๊ะ ทีนี้ขึ้นอยู่กับว่าแล้วผู้ใหญ่จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเด็ก
ณ ขณะที่เกิดเหตุการณ์ ถ้าเกิดว่ามันมีการช่วยเหลือกันลงมา ผู้ใหญ่ทำไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือความกังวลใจของเด็กที่เพิ่งเจอเหตุการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เด็กโดยส่วนใหญ่เขาจะพูดเลยว่าหนูกลัว และเราในฐานะที่เป็นคนในครอบครัว เราจะบอกอย่างไรดี ถ้าเราบอกได้ว่า “กลัวได้ลูก แม่ก็กลัวอยู่ เรากลัวไปด้วยกันนะ” สิ่งที่สำคัญคือการร่วมรู้สึก ในการดูแลคนครอบครัวนั้นเราสามารถแสดงออกได้ว่า กังวลไปด้วยกันเถอะ เราไม่จำเป็นต้องโชว์ความแข็งแรง ว่าฉันไม่เป็นไร เพื่อให้ลูกเห็นว่านี่ไงฉันเป็นแบบอย่างของคนที่สู้ได้ แต่จริง ๆ แล้วในใจเราก็หวั่นไหว ทำไมเราไม่เปลี่ยนพลังงานเป็น “เราสู้ไปด้วยกัน” เราขึ้นไปดูที่บ้านกันเถอะว่ามีรอยอะไรมั้ย แล้วเราก็กังวลไปด้วยกัน
เรากำลังฝึกให้เด็กรับรู้อารมณ์ เข้าใจอารมณ์ของตนเอง และในขณะเดียวกันเราก็สื่อสารอารมณ์ต่อกันและกัน ซึ่งทำแบบนี้เด็กจะรู้สึกปลอดภัย ไม่ใช่ว่าปลอดภัยที่พ่อแม่แข็งแกร่งแล้วเขาจะผ่านไปได้ แต่มันแปลว่า เมื่อเวลาที่เขามีความหวั่นไหวทางอารมณ์ ผู้ใหญ่ก็เข้าใจและร่วมรู้สึกไปกับเขาได้ บรรยากาศในครอบครัวที่ร่วมรู้สึกจะทำให้ความรู้สึกว่าเขาปลอดภัยที่จะเล่าให้ฟังได้ ว่าเขาไม่จำเป็นว่าเขาต้องแข็งแรง เขาไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง เมื่อเขารู้สึกกลัวเขาก็บอกได้ว่ากลัว แล้วเราก็สู้ไปด้วยกัน
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ (อ.เติ้น) สรุป
คำว่า “กลัวได้ลูก” คือการอนุญาตให้รู้สึกและสัมผัสความรู้สึก มีการตระหนักรู้ถึงความรู้สึก การที่เราบอกว่ากลัวได้ลูก มันคือการที่ลูกจะได้ตระหนักรู้ในความรู้สึกของตัวเอง และเราตระหนักรู้ในความรู้สึกของลูก ซึ่งมันเป็น common experience ที่คนมี และเราก็เปิดโอกาสให้มี เราจะได้ข้ามภาพลวงตาบางอย่างว่าพ่อแม่เป็นยอดมนุษย์ที่เข้มแข็งที่สุดในโลก เมื่อเด็ก ๆ ได้ยินจากพ่อแม่ว่ากลัวได้ลูก และสิ่งที่เกิดไม่ได้ผิดปกติเลย มันโอเคที่จะเกิด และเราก็ร่วมรู้สึกกับเขา มันก็เป็นช่องทางที่ถ้าเขารู้สึกกลัวจนมันขยายใหญ่ขึ้น เขาก็จะมาสื่อสารกับเรา
องค์กรควรเตรียมรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติของพนักงานอย่างไร
ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตกุล (อ.กิ๊ก)
หลายครั้งที่องค์กรจะต้องรับมือกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ รวมถึงภัยพิบัติด้วย เช่น จากโควิดที่ผ่านมา จะเห็นได้เลยว่าหลายองค์กรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้าง Resilience ให้บุคลากร ให้คนมีความสามารถในการฟื้นตัวจากความเครียด มองในแง่ดี เปิดใจรับ เห็นอกเห็นใจกัน ทีนี้ก็อยากจะชวนไปมองอีกแง่หนึ่ง ก็คือแล้วตัวองค์กรเองมีความสามารถที่จะฟื้นตัวจากเหตุการณ์หรือวิกฤตการณ์แค่ไหน Resilience มันไม่ได้มีแค่ในระดับบุคคล แต่ในระดับองค์กรก็สำคัญมาก ๆ เลย
องค์กรก็ควรให้ความสำคัญในเรื่องการเตรียมรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ มันมีด้วยกัน 2 ขั้น อันแรกคือเราสามารถวางแผนล่วงหน้าได้เลยก่อนที่จะเกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ หลายองค์กรก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว ค่อนข้างที่จะเป็นมืออาชีพมาก ๆ มีแผนบริหารความเสี่ยงหรือแผนในการรับมือฉุกเฉิน เช่นเมื่อเกิดโควิดเรายังสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างไร เรายังสามารถจัดการเรียนการสอน หรือดำเนินกิจการต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น เราสามารถกำหนดล่วงไว้ก่อนล่วงหน้าได้เลย เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น เราจะอพยพคนออกจากตึกอย่างไรให้ปลอดภัย เราอาจจะมี protocol ร่วมกันว่าเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเราแพลนที่จะตอบสนองอย่างไร นี้เป็นเชิงรุก
นอกจากที่ว่าเราจะให้มี Resilience ทั้งคนในองค์กรรวมถึงตัวองค์กรเองมีแผนรับมือที่ฉุกเฉิน อีกอันคือเราจะต้องยืดหยุ่น องค์กรต้องปรับระบบ โครงสร้างอะไรที่มันรองรับให้เหมาะสมกับโลกปัจจุบันที่เราก็คาดการณ์ได้ยาก เราจะมีระบบงานหรือกระบวนสื่อสารอย่างไรที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง
จึงอยากจะชวนมองว่าการที่เราเสริมสร้างทักษะจำเป็นให้บุคลากรสามารถมีใจที่พร้อมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวองค์กรเองก็ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบ ปรับปรุงวัฒนธรรมต่าง ๆ ต้องแคร์เรื่องความปลอดภัยมากขึ้น จากเดิมที่เราก็ใหม่กับบางเรื่อง อย่างตัวเองก็ยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับเหตุการณ์อพยพจากตึก อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราจะได้ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปด้วยกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนเกิดความวิตกกังวล หนึ่งเลยเป็นเพราะว่าการสื่อสารไม่ชัดเจน ระบบการสื่อสารจะทำอย่างไรให้รวมศูนย์ข้อมูลให้มัน real time มากขึ้น หรือการที่ข้อมูลมัน overwhelm มันเยอะเกิน ก็ทำให้คนวิตกกังวลได้ บางทีเรามีแอพสื่อสารหลายช่องทาง และเราระดมส่งกันหลากหลาย ก็ยิ่งทำให้เราตกอกตกใจ ทั้งที่ข้อมูลบางทีก็ยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง ตรงนี้ก็อาจจะต้องปรับในเรื่องระบบการสื่อสาร
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ (อ.เติ้น) สรุป
วันก่อนได้เคย discuss กันกับอ.กล้าว่าวันนั้นคนควรจะเสพข้อมูลหรือไม่ ก็คิดกันว่าคนควรจะเสพเพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ต้องไม่ให้มันมากเกินไป ซึ่งมันยิ่งยกระดับความวิตกกังวล ดังนั้นตามที่อ.กิ๊กบอก เส้นของการสื่อสารต้องชัด และมีคนที่รู้ว่าข้อมูลจากแหล่งไหนจึงเป็นข้อมูลที่เราจะต้องฟัง ถ้าองค์กรกำหนดเส้นเหล่านี้ได้ชัด มันก็จะลดภาวะความกังวลของพนักงานได้ และเราก็จะสามารถมี empathy ต่อกันและกันโดยไม่ยกระดับอารมณ์ไปจนกระทั่งเป็นการวิตกกังวล
เราสามารถประเมินระดับความเสี่ยงของที่อยู่อาศัยและที่ทำงานของเราอย่างไร
รศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์ (อ.จุ)
เหตุการณ์แผ่นดินไหวมันเกิดมาแล้วทั่วโลก เรามี know how เรื่องการป้องกันภัยจากแผ่นดินไหวเต็มมือกันอยู่แล้ว แต่หลายคนอาจจะเผชิญกับเหตุแผ่นดินไหวกันเป็นครั้งแรก พอพูดถึงในเรื่องการประเมินความเสี่ยง มันเป็นเรื่องที่เราควรจะทำกัน “ก่อน” ที่จะเกิด บ้านเราถือว่าความเสี่ยงที่ต่อแผ่นดินไหวถือว่าต่ำมาก ช่วงนี้เราอาจจะบอกว่าจริง ๆ เรามีรอยเลื่อน รอยแยก ที่กาญจนบุรี ที่พม่า ของที่กาญอยู่ในเมืองไทยก็จริงแต่ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ที่พม่ามันใหญ่ก็จริงแต่ด้วยระยะทางโดยปกติแล้วมันจะไม่ค่อยมาถึงเมืองไทย เพราะฉะนั้นภัยของแผ่นดินไหวสำหรับบ้านเราถือว่าก่อนหน้านี้โอกาสที่จะเกิดมีความเสี่ยงต่ำมาก
เวลาเราประเมินความเสี่ยงนั้นเราจะดูกันอยู่ 2 แกน แกนแรกคือโอกาสที่จะเกิด (possibility) เช่น บ้านเรามีน้ำท่วมทุกปี แปลว่าโอกาสที่จะเกิดสูง จากความถี่ที่เราจะพบกับมัน อีกแกนหนึ่งคือความรุนแรง เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันจะรุนแรงกับชีวิตเรามากน้อยขนาดไหน เพราะฉะนั้นถ้ามันเกิดทุกปีแล้วมันรุนแรงมาก เช่นบ้านเราอยู่ใกล้ที่ที่น้ำท่วมทุกปี แปลว่าพอเข้าฤดูกาลเราก็จะ alert และเราก็จะเตรียมตัวรับมือ เพราะในการประเมินความเสี่ยงแวบหนึ่งของเราคือเรามองว่ามันอันตราย กลับมาที่แผ่นดินไหว จะเห็นว่าโอกาสเกิดที่ผ่านมาเรารับรู้ว่ามันต่ำมาก ขณะที่ความรุนแรง คิดว่าทุกคนพยักหน้าตรงกันว่าถ้าเกิดกับบ้านเราแล้วมันรุนแรงแน่นอน เพราะฉะนั้นกรณีนี้มันจึงเป็นจุดที่ยากเหมือนกัน เพราะว่า “รุนแรงแน่ แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดหรือเปล่า” แล้วเราควรจะเตรียมป้องกันมันดีมั้ย ทีนี้เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว สำหรับเรามันเสี่ยงทั้งนั้น วิชาการเคยว่าอย่างไรเราทิ้งไปหมดแล้วเราจะต้องอยู่กับข้างหน้ามัน เพราะฉะนั้นการประเมินความเสี่ยงที่ดีที่สุดควรจะต้องทำตอนที่มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เตรียม
เมื่อเหตุการณ์ที่เราเคยรับรู้ว่ามันไม่น่าจะเกิดกับเรา มันเกิดขึ้น การรับรู้ความเสี่ยงมันก็จะขยับขึ้นทันที เราจะตระหนักมากขึ้น จะเห็นว่าทุกคนเริ่มติดตามข่าวสาร มองหาว่าประเทศไทยมีรอยร้าวตรงไหน เรารู้หมด การรับรู้ความเสี่ยงของเรามันสูงขึ้น…มาก ในการเจอภัยพิบัติครั้งหนึ่ง การรับรู้ความเสี่ยงมันก็ส่งผลต่อระดับความกังวลอย่างที่อ.กล้าได้กล่าวมา ยิ่งอ่านข้อมูลยิ่งกังวล ถามว่าจะ calm down ลงได้อย่างไร ในหน่วยวิจัยของเราจะโฟกัสในเรื่อง preparation คือทำอย่างไรให้เราเตรียมตัว เราพบว่า ยิ่งคนกังวล คนจะยิ่งเตรียมตัวมากขึ้น และเราก็เชื่อว่าการเตรียมตัวของเราจะช่วยทำให้เรากังวลน้อยลง เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นลูกศรสองทาง คือ ความรู้สึกมันนำไปสู่พฤติกรรม เราคิดว่าจะทำอย่างไร เราตระหนัก เรามีความรู้มากขึ้น และเรามีความเต็มใจที่จะทำอะไรเพื่อเป็นการป้องกันมากขึ้น เตรียมกระเป๋าหนีภัย เคลียร์ทางหนีไฟให้มันไม่รก เปิดทางให้มันใช้ได้ มันเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาหลังจากการรับรู้ความเสี่ยง และในระยะยาวมันก็ทำให้เราค่อย ๆ เบาใจลงไปได้
การเตรียมตัวเหล่านี้ ข้อดีของมันคือไม่ใช่แค่เฉพาะแผ่นดินไหว อย่างเรื่องเคลียร์ช่องทางหนีไฟ ในเหตุไฟไหม้ก็ใช้ได้ หรือการอพยพในเหตุความรุนแรงใด ๆ การเตรียมการแบบนี้เป็น common preparation คือใช้ร่วมกันได้ ถ้าในครั้งถัด ๆ ไปเราทำมันได้ดีขึ้น รับมือได้ดีขึ้น คนเราก็จะมั่นใจมากขึ้น อย่างที่ญี่ปุ่น มันไม่ใช่ว่าเทคโนโลยีเขาดีอย่างเดียว แต่มันคือการทำหลาย ๆ ครั้ง ซ้อน ๆ กันไปจนเป็นทักษะและเป็นสามัญสำนึก
ตอนนี้มันมีอีกคำที่คนพูดถึง คือ PTSD เราจะประเมินอย่างไรว่ามันเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ทั่ว ๆ ไป และอะไรที่นับว่าเป็นการยกระดับที่ถึงขั้นควรไปปรึกษาผู้เชี่ยวขาญ
รศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี (อ.กล้า)
คำนี้ก็กลายมาเป็นคำยอดฮิต PTSD (Post-traumatic Stress Disorder) เหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่เขย่าตัวตนของเรา ที่ทำให้เรากังวล จริง ๆ เหตุการณ์ภัยพิบัติทุกอันมีโอกาสที่ทำให้หลาย ๆ คนเกิดประสบการณ์ PTSD ได้ ทีนี้มาทำความรู้จักก่อนว่ามันคืออะไร มันต้องมีองค์ประกอบด้วยกัน 3 อย่าง
- อันแรก มีความรู้สึกว่าเราตกอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์นั้นมันผ่านไปแล้ว เป็นลักษณะของ re-experience บางคนเกิด flashback เห็นภาพนั้น มีความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บางคนอาจจะออกมาในรูปแบบฝัน ฝันร้าย ฝันเห็นภาพตรงนั้นอีกครั้ง
- อันที่สอง คือเป็นลักษณะที่เราพยายามหลีกหนีเหตุการณ์ตรงนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่อยากจะไปเจอสถานที่นั้น หรือบางคนมีลักษณะชาไปทั้งตัว นี่ก็เป็นลักษณะที่จะพบบ่อยใน PTSD
- อันที่สาม เป็นลักษณะใจเต้นใจสั่น ตกใจง่าย เป็น hyperarousal หรือขวัญผวาได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม PTSD มันมีเงื่อนไขเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เรามีเหตุการณ์แผ่นดินไหววันที่ 28 มีนา ปกติแล้วในทางการแพทย์เราก็จะประมาณการไว้ว่า ถ้าเราจะเป็น PTSD อาการที่กล่าวมา 3 ประการนั้น มันยังคงอยู่ต่อเนื่องเกิน 1 เดือนหลังจากวันนั้น แต่ในช่วงนี้ อาการที่เพิ่งพูดไปมันพอมีได้ มันอาจจะเป็น ASD – Acute stress disorder คือมีอาการความกลัวซึ่งเกิดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เราเพิ่งประสบพบเจอมา ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ ณ ช่วงนี้ บางคนอาจจะมีใจเต้นใจสั่น กังวล นอนไม่หลับบ้าง ให้สังเกตดูเบื้องต้น มันอาจจะเป็นการปรับตัวของร่างกายจากการที่เราเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญมา ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้ความเข้มข้นของมันควรจะลดลงตามระยะเวลาที่มันผ่านไป แต่สำหรับบางท่าน อาจจะตกอยู่ในอาการนั้นอยู่เป็นสัปดาห์ ๆ หรือบางท่านอาจจะครบเดือน เกินหนึ่งเดือน ลองสังเกตตัวเราเองดูว่าการกินการนอนของเรากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมมากน้อยแค่ไหน ใจเต้น ใจสั่น ยังนอนขวัญผวาอยู่มั้ย ภาพเหตุการณ์วันที่ 28 มันเหมือนกับรีรันกลับมา จนเข้ม จนภาพนั้นมันยังอยู่กับเราชัด ในมุมส่วนตัวของผมอาจจะไม่จำเป็นต้องครบหนึ่งเดือน ถ้าสักสองสัปดาห์ยังไม่ดีขึ้น บางทีการพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาก็อาจจะเป็นทางออกที่ดี เดี๋ยวนี้ใครก็พบนักจิตวิทยาได้ทั้งนั้น
มีค่านิยมทางสังคมไทยอะไรบ้างที่ช่วยให้เรากลับมาใจนิ่ง หรือปรับตัวปรับใจได้
ผศ. ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน (อ.นีท)
ในมุมของจิตวิทยาพัฒนา มีอยู่ 2 ประเด็นที่คิดได้ ก็คือ การมีสติ mindfulness นั้นเป็นเรื่องที่จิตวิทยาหลาย ๆ แขนงใช้ร่วมกัน หลักการใช้สติคือการที่เราอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น และอยู่กับปัจจุบัน ในจิตวิทยาที่เกี่ยวกับเวลา เรามองว่าคนที่มองแต่ภาพอนาคต กลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจนเกินไป มันก็ไม่ดี หรือคนที่คิดดื่มด่ำอยู่แต่กับอดีต คิดถึงแต่เรื่องในวันวาน ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในก่อนเก่า มากเกินไปก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นจุดตรงกลางก็คือการที่เราพยายามทำให้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเรากลมกล่อม
ในแง่ของการรับรู้ เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร ชอบในสิ่งที่อาจารย์ทุกท่านพูดถึงเรื่องการเตรียมตัว และการเตรียมรับมือล่วงหน้า เพราะมันหมายถึงว่า ถ้าเราควบคุมปัจจุบันได้ มันจะทำให้อนาคต.. อย่างที่อ.จุพูดว่าถ้าเราวางแผนไว้อย่างดีแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไร ใจเราจะนิ่งได้มากขึ้น เพราะเราได้เตรียมตัว รอบนี้เป็นรอบที่เราเตรียมตัวน้อยเพราะเราไม่ได้ตระหนักว่ามันจะเกิด แต่หลังจากนี้เราเชื่อว่าสังคมไทยจะมีการพูดทักกันมากขึ้นว่า เราทำแบบนี้จะดีหรือ ลดสเป็กจะดีหรือ หรือว่าวางของไว้เกะกะแบบนี้จะดีหรือ ถ้าล็อกประตูตรงนี้มันจะยากหรือเปล่า มันจะเกิดคำถามทั้งในบ้านและในสังคม ถามกัน ซึ่งมันไม่ใช่การถามเพื่อจับผิด แต่เป็นการถามเพื่อให้มีวัฒนธรรมของความปลอดภัย จริง ๆ แล้ววัฒนธรรมของความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ควรจะมี ถ้าเรามีความตระหนักรู้ในประเด็นเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่ดีต่อ ๆ ไป ที่เราจะเตือนกันว่าเรากำลังประมาทอยู่หรือเปล่า
นึกถึงตอนโควิดที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องล้างมือกันบ่อย ๆ ทำไมต้องใส่แมสก์ จนมาถึงจุดที่พ่อแม่สามารถสอนเด็ก ๆ ว่า ล้างมือนะลูก ใส่แมสก์นะ เราอยู่ในจุดที่ดูแลตัวเอง ระแวดระวังมากขึ้น ดูค่าฝุ่น เรามีสังคมที่ถ้ามองในแง่ดีคือเรามีความระมัดระวังมากขึ้น เราสร้างวัฒนธรรมของการเตือนกันและกัน ซึ่งอันนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
ผู้นำควรแสดงบทบาทอย่างไรในช่วงวิกฤตเพื่อไม่ให้ทีมเสียขวัญ
ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตกุล (อ.กิ๊ก)
ไม่ว่าในบริบทไหนผู้นำก็ควรสื่อสารด้วยความเข้าใจ มี empathetic communication แต่ในช่วงหลังวิกฤตการณ์ คนเปราะบางมากขึ้น คนวิตกกังวล ระแวดระวัง sensitive ไปหมด ตรงนี้ยิ่งต้องระมัดระวัง ผู้นำไม่ใช่เพียงแค่สื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจถึง อะไรเป็นความเครียด อะไรเป็นความวิตกกังวลของสมาชิกในองค์กรเท่านั้น แต่ empathy ยังต้องตามมาด้วยการกระทำ เพราะบางทีเรามีความเห็นอกเห็นใจ มี emotional support ทางอารมณ์อย่างเดียว มันไม่พอ ไม่ทำให้คนรู้สึกอุ่นใจอย่างระยะยาว เราต้องมี action เช่น คนกลัวว่าเมื่อเข้าไปทำงานแล้วจะอันตราย เราได้มีมาตรการหรือมีการ take action เข้าไปตรวจสอบโครงสร้างตึกอย่างเป็นรูปธรรมหรือยัง เพราะฉะนั้น empathy ที่ดีมันต้องตามมาด้วย action จึงจะทำให้ความเข้าอกเข้าใจกันมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกันกับที่พูดไปตอนต้น ว่าหลายองค์กรอยากเสริมสร้างเรื่อง resilience เวลาคนผ่านการเปลี่ยนแปลง วิกฤตการณ์ต่าง ๆ สามารถที่จะฟื้นตัวกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติ องค์กรก็เช่นกัน เราจะทำอย่างไรที่จะสร้างทรัพยากรทางจิตใจให้บุคลากร หนึ่งในนั้นที่สำคัญคือ การสนับสนุนทางสังคม social support ในฐานะผู้นำ ถ้าสมาชิกคนไหนเขาไม่เข้าหา ไม่มาบอกเราว่าเขามีข้อวิตกกังวลอะไร บางทีเราต้องเป็นคน reach out เป็นคนเดินเข้าไปถามเองเลย เพราะแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางคนเขากลัวมากเลย แต่ไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงออก บางทีเราก็ต้องเช็คทั้งในรูปแบบแบบสำรวจ ออนไลน์ก็ได้ หรือจะเป็นการถามแบบ informal ทักทายกัน เช็คอัพกัน ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง
การให้การสนับสนุนกันในองค์กรเป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้นำบางคนอาจจะพูดน้อย มุ่งงาน มุ่งตรวจสอบตึกให้ทุกคนมาทำงานปลอดภัย แต่เขาไม่ค่อยพูดอะไรมาก สมาชิกในองค์กรอาจจะมีคำถาม ถ้าเราเป็นผู้นำ เราก็อาจจะต้องฝึกที่จะเข้าหาให้ทั่ว ทุกภาคส่วน
การเตรียมรับมือภัยพิบัติ ทุกคนสามารถทำได้อย่างไร
รศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์ (อ.จุ)
การเตรียมรับมือภัยพิบัติไม่จำเป็นต้องถูกขับเคลื่อนจากความวิตกกังวลก็ได้ ที่ผ่านมาเราคุยกันว่าเรากังวลเลยลงมือกระทำเพื่อให้มีความปลอดภัยมากขึ้น รู้สึกวิตกกังวลน้อยลง จริง ๆ แล้ว การรับมือกับภัยพิบัติสามารถเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นวัฒนธรรม ยกตัวอย่างว่าก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยสวมหน้ากากกัน เราสวมมากขึ้นเมื่อตอนโควิด ซึ่งมันเริ่มจากการบังคับ ถ้าไม่ใส่หน้ากากจะไม่ให้เข้าไปในอาคาร ไม่ให้ใช้ขนส่งมวลชน มันเป็นการทำพฤติกรรมตามเงื่อนไข หรือถูกบังคับให้ทำ ทีนี้เราจะเห็นว่าปัจจุบันเรามีการใส่หน้ากาก อาจจะด้วยความกังวลในระดับหนึ่ง เช่น มีค่าฝุ่น หรือวันนี้เรามีอาการไอ เราก็ทำ เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวมันสามารถอยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้ คำถามว่าเราจะต้องเตรียมอะไรในชีวิตประจำวันของเราบ้าง ก็ลิงค์ไปที่การประเมินความเสี่ยงของเรานั่นเอง ชีวิตของเราอะไรมีโอกาสเกิดขึ้นบ่อย และอะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันจะอันตราย เพราะฉะนั้นมันจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่แผ่นดินไหว แต่ว่าอยากให้มองถึงอันตรายโดยถ้วนทั่วที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา อย่างทางหนีไฟ เรามีการซ้อมหนีไฟ เราเลยจะนึกถึงทางหนีไฟเฉพาะในกรณีไฟไหม้ แต่เราก็มาพบว่าจริง ๆ แล้วทางนั้นมันไม่ได้ใช้เฉพาะกรณีไฟไหม้อย่างเดียว เราใช้ในโอกาสอื่น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นการที่เราประเมินความเสี่ยงก็จะนำไปสู่อะไรที่ว่า เราจะทำอะไรที่มันช่วยให้เราปลอดภัย ทำได้ในชีวิตประจำวัน ที่มันไม่หนัก ไม่เป็นภาระกับเรามากเกินไป แล้วมันทำให้เราปลอดภัยมากขึ้น เช่น ถ้าเราอยู่ที่ญี่ปุ่น มันจะมีไอเท่มน่ารัก ๆ เป็นตุ๊กตาที่พอดึงออกมาก็จะมีเสียงดัง สำหรับสาวน้อยทั้งหลายที่ต้องเดินทางในที่มืดที่เปลี่ยว ตัวนกหวีดที่ส่งเสียงดังก็จะช่วยให้คนสนใจเรา ซึ่งมันลดโอกาสการเกิดอาชญากรรมได้ หรือในส่วนที่เป็นชนบท ระหว่างเดินทางอาจจะเจอสัตว์ป่า ก็จะมีพวกกระดิ่งกริ๊ง ๆ ที่เมื่อเดินไปแล้วส่งเสียงให้พวกสัตว์ป่าทราบว่ามีคนเดินผ่านมาทางนี้ เพราะตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหมีของญี่ปุ่น หรือช้างในไทย พอเขารู้สึกว่ามีคนมาเขาก็จะเลี่ยงในระดับหนึ่ง ไม่ได้พุ่งมาหาเรา แต่ออกไปจากเรา เพราะงั้นไอเท่มพวกนี้เราพกติดตัวไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ หลาย ๆ อย่างพวกนี้ก็มีขายมากขึ้น สินค้าเพื่อความปลอดภัยและน่ารักด้วย
ไม่อยากให้ทำเพราะกังวล เพราะถ้าไม่กังวลจะไม่ทำ ถือซะว่าปีนี้เราจะค่อนข้างจริงจังกับการซ้อมหนีไฟมากขึ้น จะไม่โดดกัน จะมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เราจะได้คุ้นทาง เคยชินกับการเดินลงตรงนั้น ทำให้เราไปได้เร็วขึ้น เกิดแอคชั่นได้เร็วขึ้น แต่ถ้าอีกสองสามปีสิ่งนี้มันไม่เกิดขึ้นอีก ชีวิตที่สงบสุขมันเป็นเรื่องที่ดี แต่สักวันเราอาจจะลืมเลือนการระแวดระวัง การเตรียมพร้อมลงไปก็ได้ จึงอยากให้เป็นการทำโดยคิดเสียว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เราทำแล้วเราปลอดภัยขึ้น เหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเราแบบหนึ่ง
และที่อยากจะเติมก็คือการพูดคุยกับในครอบครัว ครอบครัวไทยเป็นครอบครัวใหญ่ มีคุณพ่อคุณแม่ มีผู้สูงอายุ เจนกลาง เจนน้อง ๆ อย่างที่อ.นีทบอกว่าจริง ๆ ลูกก็เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวที่มีส่วนรวมในการคิดได้ว่าเราจะทำอะไรให้บ้านของเราปลอดภัยขึ้น เรามาช่วยกันทำความสะอาดบ้านให้เราสามารถออกไปได้ง่าย ๆ กันเถอะ เราช่วยกันมาเตรียมจัดกระเป๋ากันเถอะ ให้เรามีวัฒนธรรมการคุยในครอบครัวว่ามีอะไรที่เราช่วยกันทำให้มันปลอดภัยขึ้นได้บ้าง หรือบอกกันว่า “ไม่เป็นไรนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นแบบนี้ที่โรงเรียน หนูรอที่โรงเรียน แม่จะไปรับ” การกำหนดจุดนัดพบในกรณีฉุกเฉิน เผื่อว่าเราไม่สามารถติดต่อสื่อสารหากันทางโทรศัพท์ได้ เหมือนเป็นนิทาน เป็นเกมการจำลองสถานการณ์ว่า ถ้าเกิดสิ่งนี้ขึ้น เราทำแบบนี้กันนะ ให้ทุกคนเข้าใจตามนั้น เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว หลังจากความตกใจแรก ๆ เช่น เราบ้านหมุนหรือแผ่นดินไหวกันนะ พอเราตกใจเสร็จแล้วเราจะคิดได้คิดต่อว่าเราจะทำอะไรต่อ จากการที่เราได้เตรียมมาแล้วก่อนหน้านี้
สรุปก็คือ หนึ่ง การซ้อม อะไรที่มีการซ้อมอยู่ประจำ ก็ให้เข้าร่วม สอง การพูดคุยกันในครอบครัว เรื่องของการประเมินความเสี่ยงอยากให้มีการแบ่งปันกันในครอบครัว หรือชุมชน ถ้าเรามีทบาทของการเป็นผู้นำองค์กร ผู้นำชุมชน กรรมการหมู่บ้าน คอนโด การพูดคุยเรื่องนี้และการหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน มันก็นำไปสู่อะไรที่มันทำได้ในภาพรวมมากขึ้น เพื่อให้เราได้วัฒนธรรมการเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตเรา โดยไม่ต้องเอาความวิตกกังวลเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวเลย หวังว่าสังคมไทยจะพัฒนาไปทางนั้นพร้อม ๆ กัน
ทิ้งท้าย ทำอย่างไรให้ใจนิ่ง
รศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี (อ.กล้า)
เบื้องต้นช่วงนี้ ขออนุญาตใช้คำง่าย ๆ ปรนเปรอตัวเอง ดูแลตัวเอง Self-care แรกสุดเลย ต้องยอมรับก่อนว่ามีความรู้สึกนี้เกิดขึ้น ซึ่งมันก็เป็นปกติ เราผ่านเหตุการณ์ที่สะเทือนตัวเรา สิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็ยอมรับ และหลังจากนั้นก็ปรนเปรอตัวเอง หาอะไรทาน อยู่กับคนที่บ้าน ทำกิจกรรมตามปกตินั่นแหละ มันเป็นเรื่องปกติที่เราต้องทำอยู่แล้ว กินให้ได้ นอนให้หลับ ออกกำลังกายตามปกติ ดึงตัวเองกลับมา ใช้ชีวิตประจำวันให้ใกล้เดิมมากที่สุด แล้วก็อาจจะมีคำว่า Self-compassion กรุณาต่อตนเอง ชื่นชมตนเองว่าได้ผ่านเหตุการณ์ตรงนี้มาพร้อมกับคนส่วนใหญ่ ให้กำลังใจให้รางวัลตนเอง
สำหรับคำถามเรื่อง GAD เข้าใจว่าหมายถึง General anxiety disorder คือความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น PTSD หรือ Panic หรืออะไรก็ตามที่คนพูดถึง ณ ขณะนี้ ก็จะเป็นอยู่ในกลุ่มของความวิตกกังวล ถามว่ากระตุ้น (GAD) ได้มั้ย ก็คงกระตุ้นได้ แต่อย่าเพิ่งไปลิงค์ว่ามันกระตุ้นหรือไม่ อยากให้มองถึงวิธีการจัดการกับความวิตกกังวลมากกว่า ถึงแม้มันกระตุ้นมา แต่เราสามารถจัดการได้ ผมขอสารภาพกับสังคมไทยทราบว่า ผมก็เป็นคนที่วิตกกังวล ผมเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษาแต่เป็นคนขี้กังวล แต่ระดับความวิตกกังวลอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้เราจะเป็นคนขี้กังวลมากกว่าคนอื่น แต่เรามีวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมความวิตกกังวล ตรงนั้นสำคัญกว่า ความวิตกกังวลไม่ว่ามาจากอะไรก็ตาม มันไม่สำคัญเท่าวิธีการจัดการของเรา ถ้าเราสามารถจัดการได้เราก็ใช้ชีวิตได้ปกติ
REBT (Rational Emotive Behavior Therapy) หรือ CBT (Cognitive Behavioral Therapy) ก็เป็น therapy ที่เหมาะกับการช่วยเหลือผู้รับบริการที่มีความวิตกกังวลอยู่แล้ว แต่ตั้งคำถามแค่ว่า พอเรากังวลแล้ว กลัวแล้ว ณ ปัจจุบันนี้ เราทำอะไรได้บ้าง มันจะได้ตีกรอบให้เรารู้ว่าเราเดินไปข้างหน้า แล้วลงมือทำ
ผศ. ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน (อ.นีท)
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของวงจรเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นที่บ้าน สายใยที่ผูกเชื่อมกันในครอบครัว เวลาที่คับขัน เรานึกถึงใคร เราให้ความสำคัญกับใครในชีวิตของเรา เรามีคนที่เราเห็นว่าเป็นที่หนึ่งในใจ เป็นเบอร์ต้น ๆ ในใจ ที่เราอยากโทรไปหาเขาจังเลยว่าเขาโอเคหรือยัง หรือถ้าเราอยู่ด้วยกันกับเขาเราจะคิดว่าเราอยากทำอะไร อันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้กลับมาทบทวน ว่าที่ผ่านมาเราดีต่อกันพอแล้วหรือยัง หรือเราคุยกันมากพอแล้วหรือยัง เหตุการณ์แบบนี้มันเป็นตัวย้ำเตือนเราเหมือนกันว่าเราไม่เคยพูดหวาน ๆ กับคนที่เรารักเลย หรือเราไม่เคยกอดเขาเลย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเวลาที่เรากลัว การกอด การสัมผัสมือ การถาม การพูดกันเพราะ ๆ มันสำคัญ มันจำเป็นต่อใจเรามาก ๆ เลย ถ้าบ้านไหนคิดได้แล้วว่าเราไม่เคยทำ แต่ในโอกาสแบบนี้เป็นโอกาสที่เราควรเปลี่ยนมั้ย ถ้าเราไม่เคยทำ หรือทำไม่เป็นเลย เป็นโอกาสที่ดีมั้ยที่จะลองทำกัน
อิฐผนังปูนเป็นบ้านรูปแบบหนึ่ง แต่บ้านที่เป็นใจความสำคัญทางจิตวิทยาคือบ้านที่เป็นมนุษย์ ในสังคมครอบครัว ในกลุ่มเพื่อน ในสังคมองค์กร หรือทุก ๆ ที่ ที่บ้านคือคำว่าคนที่อยู่ด้วยกัน ที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ที่เห็นใจและแคร์กัน ดังนั้นอยากจะฝากว่า การกอด การจับมือ การพูดเพราะ ไม่ใช่ว่ามันเห่ยหรือมันเชยจังเลย ที่เราพูดเพราะต่อกัน จริง ๆ แล้วมันไม่ควรเชยเลย การที่เราให้กำลังใจกัน เราฉีดยากันและกัน เราชมกัน การพูดเพราะ ๆ ต่อกัน การพูดดีต่อกัน เป็นเรื่องที่ควรทำ ณ เวลานี้มาก ๆ ดังนั้นอยากฝาก ใครที่ยังไม่ค่อยได้ทำ ทำให้มากขึ้น เราจะได้มีสังคมที่แข็งแรง
ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตกุล (อ.กิ๊ก)
แม้ว่าเราจะผ่านวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันมันเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เรามองว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึกตนเอง ฝึกทักษะในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง มองเห็นเลยว่าในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา หลายคนมี skill set ที่จำเป็นต่อโลกปัจจุบันและอนาคตมาก ๆ เลย ก็คือ resilience ต้องมีการฝึกที่จะเป็นคนมีความมั่นใจว่าเราจะผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ เราจะทำอย่างไรที่จะปรับตัว ปรับมุมมองที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก่อนเราอาจจะมีความคิดที่ยึดติด ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เช่นมองว่าจะสอนนิสิตอย่างไรถ้าไม่มาออนไซต์เราจะทำยังไง แต่ก่อนเราไม่มีไฮบริดด้วยซ้ำ ตอนนี้เราก็เริ่มปรับตัวเรื่อย ๆ แล้ว เราเริ่มฝึกที่จะมีความคิดยืดหยุ่นมากขึ้น มองวิกฤตเป็นโอกาส เช่น โอกาสที่จะได้อยู่กับคนที่เรารักและแสดงความรักต่อกัน ไม่ว่าจะในที่ทำงานหรือที่บ้าน จะเห็นได้ว่าทุกคนมีการถามไถ่ว่าเป็นอย่างไร ที่บ้านเป็นยังไง มีใครได้รับผลกระทบ เราจะเห็นถึงสิ่งดี ๆ เหล่านี้ตามมาด้วย เลยไม่อยากให้จมอยู่กับอารมณ์ทางลบมากเกินไป จนบางทีเราดึงตัวเรากลับมายาก อย่างที่อ.กล้าบอก เราก็กลับมาปรนเปรอตัวเอง หาอะไรทำที่สนุกสนาน บางทีเราก็มีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยซ้ำ จึงอยากให้มองว่าตรงนี้เป็นโอกาสที่เราได้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
รศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์ (อ.จุ)
อยากให้เรื่องของการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องความเสี่ยงเป็นเรื่องปกติ เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่รู้สึกว่าเมื่อคุยถึงเรื่องความเสี่ยงแล้วมันบาด เราไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้น เราไม่อยากคุยเลย จึงอยากให้ตรงนี้มันเป็นโอกาสให้ทุกท่านพูดเรื่องความเสี่ยงในทาง positive เช่น ว่ามีคอลเลคชั่นใหม่ ๆ มันมีฟังก์ชั่นนี้ด้วยนะ ไว้เตือนแผ่นดินไหวได้ด้วย หรืออะไรอย่างนี้ มีไอเท่มตัวนี้น่ารัก ที่มันจะช่วย อย่างจุเองจะมีผ้าเช็ดหน้าที่มันกันไฟได้ มีผ้าฝืนหนึ่งที่ถ้ามีไฟไหม้จะสามารถใช้มันไปตบ ๆ ๆ แล้วไฟจะดับได้ ให้เราคุยเรื่องนี้กันได้ที่มันจะไม่ toxic กับชีวิตเรา หรือกับความสัมพันธ์ของเรา เชียร์ค่ะ อยากให้เราได้คุยกันว่าใครมีเตรียมอะไรบ้าง ที่มันเป็นทางบวก แล้วเรามาแบ่งปันกัน ช่วยกันคิดในครอบครัว ทุกคนมามีส่วนร่วม คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลง เราต้องมีสติในการรับกับสิ่งที่เราไม่คุ้น แต่ในเรื่องของภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติ know how มันมีอยู่เยอะเลย เพราะฉะนั้นมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทุกท่านไม่คุ้น แต่ว่าแค่เรายังไม่ได้เอามันมาอยู่ใกล้ ๆ กับตัวเราเฉย ๆ ก็อยากให้มีสิ่งนี้ค่ะ เจอหน้าใครแล้วทุกคนเอาไอเท่มที่ช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้นมาคุยกัน
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ (อ.เติ้น) สรุป
แม้ว่าเราจะไลฟ์จบ ที่คณะจิตวิทยาต่อให้ไม่ไลฟ์ก็มีพวกเราอยู่ ถ้าใครสนใจเรื่องดูแลจิตใจในภาวะวิกฤต ที่คณะของเราก็มีทั้งงานวิจัย และบริการต่าง ๆ จากทุกศาสตร์ทางจิตวิทยา ที่ท่านมาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ และเรายินดีที่จะมีส่วนช่วย สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกคนรู้ว่ามันมี common humanity ที่อ.กล้าพูดถึง self-compassion (ความเมตตากรุณาต่อตนเอง) ทุกข์ครั้งนี้เป็นทุกข์ที่ทุกคนร่วม สิ่งที่เรามาเสวนากันคือเราร่วมทุกข์กัน เพียงแต่เราไม่ได้ร่วมทุกข์แล้วจมทุกข์ แต่เราร่วมทุกข์เพื่อให้เราผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้ กลับมาที่ใจนิ่ง ๆ เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราคงต้องปรับตัวกับโลกที่ผันผวนในตอนนี้