ข่าวและกิจกรรม

ขอแสดงความยินดีกับ ศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ ที่ได้รับมอบเข็มเชิดชูเกียรติ “คุมประพฤติสดุดี” ชั้นที่ 3 เหรียญทองแดง

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ ศาสตราจารย์ ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ [ผู้อำนวยการหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาจิตวิทยา ประธานแขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา] ที่ได้รับมอบเข็มเชิดชูเกียรติ “คุมประพฤติสดุดี” ชั้นที่ 3 เหรียญทองแดง พร้อมเกียรติบัตร จากอธิบดีกรมคุมประพฤติ ในฐานะผู้ที่ทำคุณประโยชน์ สนับสนุนภารกิจงานคุมประพฤติ ในวันที่ 14 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ นนทบุรี เนื่องในโอกาสวันสถาปนากรมคุมประพฤติครบรอบ 33 ปี

 

 

 

 

 

การร่วมรับฟังผลการวิจัยและแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำไปสู่การสร้างและจัดทำข้อเสนอทางนโยบายในการสร้างและส่งเสริมทักษะทางสังคมและอารมณ์ สุขภาวะทางปัญญา การลดปัญหาทางด้านจิตใจ ในวัยรุ่น

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา และรองศาสตราจารย์ ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี หัวหน้าโครงการวิจัย การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลและครอบครัว และปัจจัยเพาะบ่มทางจิตวิทยาที่มีต่อทักษะทางสังคมและอารมณ์ สุขภาวะทางปัญญา และปัญหาทางด้านจิตใจ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้กล่าวเปิดงานและเข้าร่วมฟังผลการวิจัยร่วมกับตัวแทนจากหน่วยงานภายนอก เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนำไปสู่การสร้างและส่งเสริมทักษะทางสังคมและอารมณ์สุขภาวะทางปัญญา ตลอดจนการลดปัญหาด้านจิตใจในวัยรุ่น ต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แสดงความยินดีกับ นางสาวทิพย์วรินทร ญาณกรธนาพันธุ์ ในการแข่งขันฮอกกี้น้ำแข็งหญิง เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ ดิวิชั่น 3 กลุ่มเอ

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ นางสาวทิพย์วรินทร ญาณกรธนาพันธุ์ (กัปตันแพรว JIPP14) นิสิตหลักสูตร JIPP ชั้นปีที่ 2 คณะจิตวิทยา จุฬาฯ และทีมฮอกกี้น้ำแข็งหญิงไทยที่คว้ารองแชมป์ในศึก ฮอกกี้น้ำแข็งหญิง เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ ดิวิชั่น 3 กลุ่มเอ (2025 IIHF Ice Hockey Women’s World Championship Division III, Group A) ที่เมืองเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย
ภาพจาก Ice Hockey Family

Radical Hope: ความหวังที่นำทาง เมื่อสังคมที่ปรารถนายังมาไม่ถึง

 

“เรากำลังใช้ชีวิตในสังคมแบบที่เราปรารถนาอยู่หรือเปล่า?” หากยังไม่ใช่ “แล้วสังคมที่เราใฝ่หานั้นเป็นเช่นไร?”

 

เราต้องการสังคมที่ทรัพยากรสาธารณะถูกใช้เพื่อประโยชน์ของทุกคน สังคมที่ระบบเศรษฐกิจเปิดโอกาสและกระจายความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรม สังคมที่ผู้นำยึดมั่นในหลักการและทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความเสมอภาค การเคารพในสิทธิเสรีภาพ และการยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ สังคมที่ความยุติธรรมทางกฎหมายเป็นจริงสำหรับทุกคน สังคมที่คุณภาพชีวิตที่ดี อากาศที่สะอาดและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน นี่คือสังคมที่เราจินตนาการถึงหรือไม่? หรือแท้จริงแล้ว สังคมในฝันของเรามีหน้าตาเป็นเช่นไร? หากได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเช่นนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร? และสังคมในจินตนาการของเราห่างไกลจากความเป็นจริงเพียงใด?

 

เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความผุพังของโครงสร้าง ค่านิยม และวิถีชีวิตในสังคม เราตระหนักว่าสังคมที่เราอาศัยอยู่ไม่สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตที่พึงปรารถนาได้อีกต่อไป การจินตนาการถึงโลกใหม่ที่นำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าทำให้โลกเดิมไม่อาจเป็นที่ยอมรับในแบบเดิมอีกต่อไป ยิ่งโลกที่เราฝันแตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงมากเท่าใด ความคับข้องใจก็ยิ่งเท่าทวี ความปรารถนาที่จะได้สัมผัสโลกใหม่ที่ใฝ่ฝันยิ่งเร่งเร้าในใจ ผลักดันนำไปสู่การร่ำร้อง การเรียกร้องและการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อความยุติธรรมทางสังคม (social justice)

 

ในกระบวนการแห่งการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงมักเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย อาทิ การต่อต้านจากกลุ่มที่มีอำนาจ การใช้ความรุนแรงและการปราบปราม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ การละเมิดสิทธิมนุษยชน การเพิกเฉยของสังคม และการขาดทรัพยากรสนับสนุน สภาวะยื้อยุดในการเปลี่ยนผ่านมักยืดเยื้อยาวนาน เต็มไปด้วยการช่วงชิง พลัดกันเพลี่ยงพล้ำ และมักจบลงด้วยภาวะที่สิ่งต่าง ๆ ยังคงเดิม การพ่ายแพ้ที่ปรากฏให้เราเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ชัยชนะยังเป็นเพียงภาพเลือนราง กัดกร่อนความหวังในการสร้างวิถีใหม่ ความอ่อนล้าและสิ้นหวังค่อย ๆ แทรกซึม จนความเชื่อในอนาคตที่เคยวาดหวังเริ่มสั่นคลอน

 

ความสิ้นหวังปิดกั้นจินตนาการไม่ให้มองเห็นความเป็นไปได้ของโลกที่ดีกว่า ขณะที่การยอมจำนนยิ่งตอกย้ำโครงสร้างเดิมให้แข็งแกร่งขึ้น และผลักไสโลกใหม่ให้เลือนราง ในสถานการณ์เช่นนี้ “เราจะยืนหยัดต่อไปได้อย่างไร?”

 

บนเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยังมาไม่ถึง โดยที่เราไม่อาจรู้แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด หรือแม้แต่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ “Radical Hope” หรือ “ความหวังอันแรงกล้า” ซึ่งมิใช่เป็นพียงความหวังที่ผลิบานท่ามกลางแสงสว่างและความเป็นไปได้ หากแต่เป็นความหวังที่ยังคงลุกโชนแม้ในความมืดมิดอันน่าสิ้นหวัง จึงไม่ได้เป็นแค่ทางเลือก แต่คือทางรอดที่เป็นพลังนำทางให้เราไม่ยอมจำนนต่อความสิ้นหวัง หล่อเลี้ยงให้เรายืนหยัด ลงมือทำ และสร้างหนทางไปสู่โลกที่เราปรารถนาต่อไป

 

ความหวังอันแรงกล้าเกิดจากความปรารถนาอย่างลึกซึ้งถึงโลกที่แตกต่างจากปัจจุบัน และเกิดจากการมองเห็นถึงศักยภาพของสังคมและชีวิตที่ดีกว่า แม้ในท่ามกลางข้อจำกัดในปัจจุบัน ความหวังอันแรงกล้าเป็นพลังขับเคลื่อนที่สนับสนุนให้เราสร้างความหมายใหม่เกี่ยวกับวิถีที่สังคมควรจะเป็น มันทำให้สังคมก้าวข้ามการแก้ปัญหาชั่วคราวและมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ความหวังอันแรงกล้าเป็นแรงผลักดันทำให้เรามีความกล้าหาญ พร้อมเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากและความท้าทายที่คาดไม่ถึง เพื่อมุ่งสู่สิ่งที่เชื่อว่ามีคุณค่าและดีงาม อีกทั้งยังเป็นพลังในการเยียวยาช่วยให้ทั้งตนเองและสังคมฟื้นตัวได้ แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด

 

ดังที่กล่าวมา การพยายามสร้างชีวิตและสังคมที่ควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างยิ่ง ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และปัจจัยภายใน เช่น ความสิ้นหวัง การยืนหยัดเพื่ออนาคตที่ดีกว่าจึงต้องอาศัยความกล้าหาญทางศีลธรรม (moral courage) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการรักษาความเชื่อมั่นในความหวัง แม้จะไม่มีหลักประกันว่าผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่คาดหวัง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ความกล้าหาญทางศีลธรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ความหวังอันแรงกล้ายังคงดำรงอยู่ได้ แม้ในสภาวะที่ไม่แน่นอน เมื่อความหวังอันแรงกล้ายังคงอยู่ การจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และการแสวงหาหนทางที่แตกต่างจากเดิมก็สามารถเกิดขึ้นได้ ในระดับบุคคล ความกล้าหาญทางศีลธรรมช่วยให้บุคคลไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง และยืนหยัดเพื่อการเปลี่ยนแปลงแม้ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ในระดับสังคม ความกล้าหาญทางศีลธรรมทำให้กลุ่มคนสามารถยึดมั่นในหลักการร่วมกัน และสร้างวิถีชีวิตใหม่ท่ามกลางแรงบีบคั้นจากภายนอก

 

ความหวังอันแรงกล้า ไม่ใช่ความหวังในอุดมคติที่ล่องลอยอยู่เหนือความจริง แต่เป็นความหวังที่ยึดโยงกับความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต ความทรงจำร่วมกันของสังคม (collective memory) เกี่ยวกับเรื่องราวแห่งการต่อสู้ดิ้นรนและชัยชนะของผู้คนในยุคที่ผ่านมา ทำให้สามารถเห็นความเป็นไปได้ในสิ่งที่เคยดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ เมื่อความหวังของเราเริ่มอ่อนแรง การย้อนกลับไปศึกษาทำความเข้าใจ และเรียนรู้จากเรื่องราวของผู้คนในประวัติศาสตร์ทั้งไกลและใกล้ ทั้งจากความล้มเหลวและชัยชนะ เป็นหนทางสำคัญในการธำรงและฟื้นคืนความหวังอันแรงกล้า การตระหนักว่าสังคมเคยเปลี่ยนแปลงได้มาก่อน และสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกครั้ง จุดประกายเราให้กล้าจินตนาการถึงอนาคตที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กระตุ้นให้เรามองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และยึดมั่นในความเชื่อมั่นที่ว่าสังคมที่ดีกว่าเป็นไปได้ด้วยความอดทน ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ และพลังของการร่วมมือ

 

เมื่อใดที่เราเผชิญหน้ากับความหวาดหวั่นและความสิ้นหวัง คำถามที่เหมาะสมในช่วงเวลาเช่นนี้จึงไม่ใช่คำถามที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปได้หรือไม่” แต่เป็นคำถามที่ว่า “เราจะยืนหยัดเพื่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร”

 

 

References

DeBlaere, C., Singh, A. A., Wilcox, M. M., Cokley, K. O., Delgado-Romero, E. A., Scalise, D. A., & Shawahin, L. (2019). Social justice in counseling psychology: Then, now, and looking forward. The Counseling Psychologist, 47(6), 938-962.

 

Lear, J. (2006). Radical hope: Ethics in the face of cultural devastation. Harvard University Press.

 

Mosley, D. V., Neville, H. A., Chavez‐Dueñas, N. Y., Adames, H. Y., Lewis, J. A., & French, B. H. (2020). Radical hope in revolting times: Proposing a culturally relevant psychological framework. Social and personality psychology compass, 14(1), e12512.

 

 


 

 

บทความโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล
อาจารย์แขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา

 

ความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม – Executive Function (EF)

 

ความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม (EF) เป็นกระบวนการทางปัญญาซึ่งทำงานส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเป้าหมายที่มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ ถูกควบคุมโดยการทำงานของ Prefrontal Cortex ประกอบด้วย การยับยั้งพฤติกรรม ความจำเพื่อใช้งาน และการยืดหยุ่นทางความคิด

 

Executive Function (EF) ได้รับการนิยามขึ้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1970 โดย Karl H. Pribram ศัลยแพทย์ประสาทชาวออสเตรีย ซึ่งกล่าวถึงการทำงานของ Prefrontal Cortex จากกรณีศึกษาที่มีผู้ประสบอุบัติเหตุทำให้สมองส่วนดังกล่าวได้รับการเสียหาย ส่งผลต่อการรับรู้ทางปัญญาที่เปลี่ยนไป เช่น พฤติกรรมที่ขาดการยับยั้ง การตอบสนองต่อสิ่งเร้า การตัดสินใจที่ผิดพลาด การไม่ยืดหยุ่นทางความคิด Prefrontal Cortex ทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้บริหารสั่งการควบคุมการจราจรทางอากาศ ทำงานควบคุม สั่งการ เชื่อมโยงกับสมองส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่อยู่ใต้ชั้น Cortex หรือที่เรียกว่า Subcortical structures เช่น การทำงานร่วมกับ Basal ganglia และ Amygdala ซึ่งมีความสำคัญต่อรูปแบบการเรียนรู้และการตอบสนองอารมณ์และความเครียด

 

 

 

 

 

ความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม (EF) ของเด็กวัยอนุบาล


 

 

EF เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของ Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของสมองที่เจริญเติบโต ข้อมูลทางประสาทวิทยาแสดงให้เห็นว่าพัฒนาการของ Prefrontal Cortex จะเริ่มพัฒนาในช่วงทารกต่อเนื่องไปจนกระทั่งถึงช่วงผู้ใหญ่วัยเริ่ม

 

ความจำเพื่อใช้งาน เป็นองค์ประกอบที่ทารกแสดงให้เห็นในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ตามต่อมาด้วยการยับยั้งพฤติกรรมอย่างง่ายที่จะแสดงให้เห็นในช่วง 6 เดือนหลัง จากนั้นทั้งสององค์ประกอบนี้จะเริ่มทำงานร่วมกันในช่วงอายุ 2 ปี และการยืดหยุ่นทางความคิดจะเป็นองค์ประกอบสุดท้ายที่ถูกพัฒนา เนื่องจากมีความซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยการยับยั้งพฤติกรรมและความจำเพื่อใช้งานที่ถูกพัฒนามาก่อนหน้าเข้ามาทำงานร่วมกัน และจะพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 3-5 ปี หรือวัยอนุบาล ช่วงอนุบาลจึงถือเป็นช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของบุคคล

 

ความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม (EF) สัมพันธ์กับพัฒนาการทางปัญญา สังคม และอารมณ์ของเด็ก ส่งผลต่อการควบคุมพฤติกรรมของตนเองและทักษะที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ เนื่องจากวัยอนุบาลเป็นช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเล็ก ๆ ในบ้าน ไปสู่สังคมที่ใหญ่ขึ้น คือโรงเรียน การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมในเด็กวัยอนุบาลถือเป็นกระบวนการเตรียมตัวพร้อมให้เด็กเข้าสู่ระบบโรงเรียน และวางรากฐานการเรียนรู้เพื่อความประสบความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้น

 

แม้ว่าความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของบุคคลสามารถเกิดขึ้นได้จากกระบวนการเรียนรู้ตามธรรมชาติ แต่หากเกิดความล่าช้าของพัฒนาการในส่วนนี้อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นได้ด้วย เด็กที่มีความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมดี เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียนจะสามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเอง และมีพฤติกรรมเชิงบวก เช่น สามารถนั่งอยู่ในที่นั่งตนเอง สามารถควบคุมความสนใจของตนเองต่อการเรียน สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ พฤติกรรมเหล่านี้จะพาพวกเขาไปสู่การได้รับผลตอบกลับต่อพฤติกรรมในทางบวก เช่น ได้รับการชื่นชมจากคุณครูและเพื่อน ๆ ส่งผลให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะเพิ่มพฤติกรรมเชิงบวกมากขึ้น และโรงเรียนจะกลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขและความสำเร็จสำหรับพวกเขา ในทางกลับกัน เด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียนด้วยความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมระดับต่ำ มักจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่น่าชื่นชม เช่น เดินลุกออกจากที่นั่ง มีปัญหาด้านการจดจ่อใส่ใจในการเรียน มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นต่อเพื่อนหรือคุณครู ทำให้พวกเขาได้รับผลตอบกลับพฤติกรรมในทางลบ เช่น การถูกลงโทษ หรือมีผลการเรียนที่ไม่ดี ซึ่งส่งผลให้พวกเขามีการรับรู้ต่อตนเองและโรงเรียนในเชิงลบ และอาจนำพาพวกเขาไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ที่ใหญ่ขึ้น

 

ความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม (EF) สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ในการเรียน ทักษะทางสังคมและการปรับตัว รวมถึงพฤติกรรมความก้าวร้าวรุนแรง และการใช้สารเสพติด เด็กที่มีความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมดี เมื่อเป็นวัยรุ่นมักจะไม่เกิดปัญหาการหยุดเรียนหรือหลุดออกจากระบบโรงเรียน ไม่ค่อยมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่หรือใช้สารเสพติด และมีแนวโน้มที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพร่างกายจิตใจที่ดี

 

 

การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม


 

 

การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมตั้งแต่วัยอนุบาลน่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเมื่อเทียบกับการเสริมสร้างในเด็กโต เนื่องจากความยืดหยุ่นจองระบบประสาทและสมอง รวมถึงการวางรูปแบบพฤติกรรมที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนได้ง่าย ส่งผลให้เด็กในวัยอนุบาลสามารถเรียนรู้และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าวัยที่สูงขึ้น

 

การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของเด็กวัยอนุบาลสามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ

 

  1. การถ่ายทอดองค์ความรู้แบบใกล้ (Near transfer)

    เป็นการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมแยกองค์ประกอบ อันได้แก่ (1) การยับยั้งพฤติกรรม (2) ความจำเพื่อใช้งาน (3) การยืดหยุ่นทางความคิด แต่ละองค์ประกอบโดยตรง

  2. การถ่ายทอดองค์ความรู้แบบไกล (Far transfer)

    คือมีการใช้กิจกรรมอื่น ๆ เช่น กิจกรรมทางร่างกาย กิจกรรมการฝึกสติ เข้ามาเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมผ่านกิจกรรม

 

การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมในเด็กวัยอนุบาลสามารถทำได้ทั้งในลักษณะการจัดการเรียนรู้เป็นกลุ่ม และรายบุคคล การจัดการเรียนรู้เป็นกลุ่มจะเน้นให้เด็กเกิดความสนุกและมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ อีกทั้งมีความคุ้มค่าด้านงบประมาณ เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในโรงเรียน ในขณะที่การจัดการเรียนรู้เป็นรายบุคคลจะเน้นแก้ไขปัญหาทางพัฒนาการของเด็กแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดและส่งผลต่อพัฒนาการที่ดีกว่า

 

การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของเด็กวัยอนุบาล ในช่วงแรกจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนโดยผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู ในการตั้งกฎเกณฑ์และออกแบบโครงสร้างการเรียนรู้ในกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กปฏิบัติตาม เมื่อเด็กเริ่มพร้อม ผู้ใหญ่จึงค่อย ๆ ลดการสนับสนุนเหล่านั้นเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้มีอิสระในการออกแบบการเรียนรู้และตั้งกฎเกณฑ์ของตนเองในการจัดการพฤติกรรมได้มากขึ้น และลดการพึ่งพากฎเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่สร้างขึ้น

 

การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของเด็กวัยอนุบาลสามารถทำได้ผ่านกิจกรรมในหลายรูปแบบ เช่น การเล่นบทบาทสมมติ การแต่งและเล่านิทาน การเล่นเกมปริศนา การเล่นบัตรคำ ทำอาหาร รวมถึงกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย โดยการจัดกิจกรรมให้ประสบความสำเร็จมิควรมุ่งเน้นแต่การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว แต่กิจกรรมนั้นควรช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคมไปด้วยพร้อมกัน

 

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

อริสรา แก้วม่วง. (2566). ผลของโปรแกรมการเต้น ซี แอนด์ ซี ต่อการเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของเด็กวัยอนุบาล [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2023.141

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “อคติและความหลากหลายในองค์กร”

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “อคติและความหลากหลายในองค์กร”

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “อคติและความหลากหลายในองค์กร” ในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ในรูปแบบออนไลน์ทางโปรแกรม Zoom โดย อาจารย์ ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช รองคณบดี หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์จิตวิทยาตะวันตก-ตะวันออก ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร

 

 

 

ในยุคที่โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรที่ประสบความสำเร็จมักเป็นองค์กรที่สามารถบริหารจัดการความหลากหลายของบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความหลากหลาย (Diversity) ในองค์กรครอบคลุมหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย เชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ ความสามารถ ทัศนคติ หรือรูปแบบการทำงาน ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้สามารถเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างนวัตกรรม เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวเข้ากับตลาดที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม ความหลากหลายในองค์กรยังมาพร้อมกับความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะ “อคติ” (Bias) ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร อคติอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการ การตัดสินใจ การสรรหาบุคลากร การพิจารณาความสามารถของพนักงาน ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในองค์กร อคติที่ไม่ได้รับการจัดการอาจนำไปสู่ความไม่เท่าเทียม ความขัดแย้ง และบรรยากาศการทำงานที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา

 

เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง เคารพความแตกต่าง และส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอคติและแนวทางในการลดอคติที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน การอบรมเรื่อง “อคติและความหลากหลายในองค์กร” จึงถูกจัดขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อให้บุคลากรทุกระดับตระหนักถึงรูปแบบของอคติที่อาจพบเจอในที่ทำงาน เรียนรู้แนวทางในการบริหารจัดการอคติอย่างเหมาะสม รวมถึงสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ของความหลากหลายที่มีต่อการพัฒนาองค์กร

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ อคติและความหลากหลายในองค์กร เป็นการอบรมที่เน้นให้ คนทำงานในระดับปฏิบัติการทั่วไป เพื่อให้ได้เรียนรู้วิธีการจัดการกับความหลากหลายและอคติที่เผชิญในชีวิตการทำงานประจำวัน เช่น การเข้าใจความต่าง อคติที่เกิดขึ้น แนวทางการพูดคุย และการสร้างความร่วมมือกับผู้อื่น

 

 

วิธีการฝึกอบรม
  • การบรรยาย ระยะเวลา 3 ชั่วโมง เวลา 9.00 – 12.00 น.
    วันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568
  • ออนไลน์ ทางโปรแกรม Zoom

 

 

อัตราค่าลงทะเบียน
  • บุคคลทั่วไป   1,000 บาท
  • นิสิต / ศิษย์เก่าของคณะจิตวิทยา จุฬาฯ   800 บาท

 

ผู้เข้าร่วมสามารถรับชมการอบรมย้อนหลังได้ 15 วัน 

และท่านที่เข้ารับการอบรมจะได้รับเกียรติบัตรแบบ e-certificate ทางอีเมล

 

 

 

เงื่อนไขการลงทะเบียน
  1. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  2. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  3. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วันทำการ
  4. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  5. ใบเสร็จรับเงินจะจัดส่งให้ทางอีเมลที่ท่านระบุในฟอร์มการรับสมัคร
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

 

 

 

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี โทร. 02-218-1307 E-mail: wathinee.s@chula.ac.th

 

 

แสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 42 ปี แห่งการสถาปนาคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

 

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีกับ ศาสตราจารย์ ดร.ขำคม พรประสิทธิ์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เนื่องในโอกาสครบรอบ 42 ปีแห่งการสถาปนาคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ อาคารศิลปกรรมศาสตร์ 1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

 

 

 

 

แสดงความยินดีกับ นายธีรพัชร์ จรรยาสัณห์ นิสิต JIPP ชั้นปีที่ 2 ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล/ฟุตซอลและได้รับรางวัลชนะเลิศ

 

คณะจิตวิทยา ขอแสดงความยินดีกับ นายธีรพัชร์ จรรยาสัณห์ นิสิต JIPP ชั้นปีที่ 2 ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล/ฟุตซอลกับทีม CU Inter Football Club และชนะเลิศ 2 รายการ พร้อมตำแหน่ง Top scorer ในการแข่งขัน

 

  • 11th International Football Cup Tournament ระหว่างวันที่ 3-12 ก.พ. 2568
  • the INTERCUP Futsal Tournament ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. 2567

 

 

ภาพจาก IG: cuinterfootballclub

 

 

 

 

กิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะนิสิต JIPP โดยศูนย์สุภาวะทางจิต ต้อนรับปี 2025

 

หลักสูตร Joint International Psychology Program (JIPP) ร่วมกับ ศูนย์สุขภาวะทางจิต (Center for Psychological Wellness) คณะจิตวิทยา จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะทางจิตให้แก่นิสิต JIPP ภายใต้โครงการ “การบริการวิชาการจัดส่งนิสิตเข้าศึกษาที่ The University of Queensland ปีที่ 6” ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ดังนี้

 

 

  • Reflect & Reignite Through Art – วันที่ 16, 23 มกราคม 2568

 

 

 

  • Me, Myself, and Symbols on a T-Shirt – วันที่ 30 มกราคม 2568

 

 

 

  • Blooming Heart, Grateful Souls – วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568

 

 

 

 

อธิการบดีจุฬาฯ มาพบปะและบรรยายเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย

 

คณะจิตวิทยา ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้มาพบปะและบรรยายเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้แก่คณาจารย์ บุคลากร และนิสิตคณะจิตวิทยา ได้รับฟัง พร้อมตอบข้อซักถาม ณ PSYCHE SPACE เมื่อวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.00-14.30 น.