ข่าวและกิจกรรม

พิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2568

 

วันที่ 23 ตุลาคม 2568 “วันปิยมหาราช” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ฯ หน้าหอประชุมจุฬาฯ และหน้าพระลานพระราชวังดุสิต โดยมี ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กรรมการสภามหาวิทยาลัย คณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรจุฬาฯ คณะกรรมการสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ และนิสิตจุฬาฯ ร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง

 

ในการนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณเวนิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมด้วย

 

 

ขอแสดงความยินดีกับ ณฐภัทร โกแมน  นิสิตคณะจิตวิทยา ที่ได้รับรางวัลในการแข่งขันเรือพายชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยชิงถ้วยพระราชทานประจำปี 2568

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีและภาคภูมิใจกับ ณฐภัทร โกแมน นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการเข้าร่วมการแข่งขันเรือพายชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยชิงถ้วยพระราชทานประจำปี 2568 สนามที่ 3 จัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 13-19 ตุลาคม 2568 ณ บริเวณสันเขื่อน อ.โมนสัง จ.หนองบัวลำภู ได้รางวัลชนะเลิศประเภท Sprint 200 เมตร และ Technical 3,000 เมตร และได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

 

 

 

 

ขอแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 87 ปี แห่งการสถาปนาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี

 

วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีและมอบของที่ระลึก เนื่องในโอกาสครบรอบ 87 ปี แห่งการสถาปนาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.ธารทัศน์ โมกขมรรคกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เป็นผู้รับมอบ ณ ชั้น 3 อาคารไชยยศสมบัติ 1 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ

 

 

 

 

 

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “Schema-Focused Psychotherapy for Challenging Clients”

 

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ

Schema-Focused Psychotherapy for Challenging Clients: Integrating CBT, Psychodynamic, and Gestalt Approaches

 

สำหรับนักจิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยาการปรึกษา นักจิตบำบัดและผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตที่มีความรู้เกี่ยวกับจิตบำบัด

 

 

วันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 9.00-17.30 น. (รวมจำนวน 15 ชั่วโมง)
ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

วิทยากร
  • รศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี (Ph.D. in Clinical Psychology, The University of Queensland ประเทศออสเตรเลีย)

 

อัตราค่าลงทะเบียน

6,000 บาท | รับจำนวน 25 ที่นั่ง
รวมอาหารว่าง อาหารกลางวัน เอกสารประกอบการอบรม และประกาศนียบัตรการเข้าร่วมการฝึกอบรม

 

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เบอร์โทรศัพท์โครงการ : 092-268-2385

อีเมล : psychulaworkshop@gmail.com

 

 


 

ปิดรับสมัครแล้ว เนื่องจากมีผู้ลงทะเบียนเต็มจำนวน

 


 

 

 

 

Inner Speech: สิ่งที่เราพูดกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว

 

คุณเคยลองสังเกตเสียงในใจของตนเองไหม เช่น ครั้งล่าสุดที่คุณให้กำลังใจตัวเอง เตือนตัวเองเรื่องสำคัญ หรือคิดทบทวนเหตุการณ์และบทสนทนาที่ผ่านมา (“ฉันไม่น่าพูดแบบนั้นออกไปเลย ฉันน่าจะตอบเขาแบบนี้แทนนะ”) หรือเคยสังเกตไหมว่าคุณพูดกับตัวเองในใจเป็นคำหรือประโยคหรือไม่ คุณอาจประหลาดใจที่รู้ว่าคุณ “พูดกับตัวเอง” บ่อยกว่าที่คิดโดยไม่ทันสังเกต

 

การพูดกับตัวเองในใจ (inner speech) เป็นสิ่งปกติของการคิดและมีบทบาทสนับสนุนการคิดในชีวิตประจำวัน เช่น เตือนความจำ วางแผนขั้นตอนการทำงาน หรือ เตรียมว่าจะพูดอะไรกับเพื่อนหลังจากทะเลาะกัน แน่นอนว่าการพูดกับตัวเองในใจไม่ได้เกิดขึ้นใน ‘หัวใจ’ แต่เกิดขึ้นใน ‘สมอง’ ของเราซึ่งเป็นศูนย์กลางของความคิด การคิด (thinking) ไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงในใจเสมอไป แต่เราสามารถคิดเป็นภาพในใจ หรือคิดเชิงนามธรรมได้ ดังนั้น เสียงในใจเป็นเครื่องมือหนึ่งสำหรับการคิด แต่ไม่ได้เป็นรูปแบบเดียวของการคิด (Alderson-Day & Fernyhough, 2015)

 

เสียงในใจของเราถูกพัฒนามาตั้งแต่วัยเด็ก โดยมีงานวิจัยที่สังเกตพฤติกรรมของเด็กและพบว่า เด็กมักจะพูดกับตัวเองแบบออกเสียง (private speech) ในขณะที่เรียนรู้ วางแผน หรือควบคุมพฤติกรรมตนเองในสถานการณ์ที่ท้าทาย และเมื่อเติบโต การพูดกับตัวเองในลักษณะนี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเสียงในใจแบบเงียบเมื่อเด็กมีอายุมากขึ้น (Vygotsky, 1987) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการคุยกับตัวเองในใจเป็นกระบวนการทางสมองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการช่วยนำทางการคิด การวางแผน และการแก้ปัญหาอยู่เสมอ ไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลก

 

เสียงในใจเปรียบเสมือนดนตรีประกอบเบื้องหลัง บางคนได้ยินชัดเจน บางคนแทบไม่สังเกตเลย แต่เสียงนั้นก็ยังมีอิทธิพลต่อการคิดของคุณอยู่ดี งานวิจัยที่ใช้วิธีสำรวจประสบการณ์ของผู้คนผ่านการรายงานตนเองพบว่าคนส่วนใหญ่สามารถสังเกตรับรู้เสียงในใจในประมาณหนึ่งในสี่ถึงหนึ่งในสามของช่วงเวลาประจำวัน (Hurlburt & Heavey, 2001) อีกทั้ง เสียงในใจมีหลากหลายรูปแบบและความชัดเจนที่แตกต่างกัน บางครั้งอาจเป็นเสียงสั้น ๆ ที่เตือนความจำ ในขณะที่บางครั้งอาจเป็นบทสนทนาในรูปแบบประโยค บางคนอาจจินตนาการเป็นเสียงของคนอื่นด้วย

 

ตัวอย่างของเครื่องมือสำรวจเสียงในใจคือแบบสอบถาม Vividness of Inner Speech Questionnaire (VISQ) ซึ่งมีคำถามเช่น “ฉันพูดกับตัวเองในใจเวลาต้องบอกหรือเตือนให้ตัวเองทำสิ่งต่าง ๆ” , “ฉันประเมินพฤติกรรมตนเองโดยใช้เสียงในใจ เช่น ‘ทำได้ดีนะเนี่ย’”, “ฉันได้ยินเสียงของคนอื่นในหัวของฉัน เช่น เมื่อฉันทำเรื่องผิดพลาด ฉันจะได้ยินเสียงของแม่หรือครูตำหนิฉันอยู่ในใจ” (McCarthy-Jones & Fernyhough, 2011) โดยให้ผู้ตอบประเมินจากระดับ ‘1 = ไม่ตรงกับตัวฉันเลย’ ไปจนถึง ‘6 = ตรงกับตัวฉันแน่นอน’ โดยพบว่าผู้คนมีความแตกต่างกันมากในการตอบคำถามเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าเสียงในใจของแต่ละคนมีความเฉพาะตัวอย่างยิ่ง

 

สมองมักควบคุมเสียงในใจได้ตามปกติ โดยปกติเราจะรับรู้ว่าเสียงในใจเป็นของตัวเอง แต่ในบางโรคทางจิตเวชที่ทำให้ผู้ป่วยมีการรับรู้และความคิดที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง (psychotic disorders) เช่น โรคจิตเภท สมองของผู้ป่วยอาจตีความเสียงในใจว่าเป็นเสียงจากโลกภายนอก ทำให้เกิดอาการหลอนได้ยินเสียงคนอื่น (auditory verbal hallucinations; AVH) ซึ่งคือการได้ยินเสียงคนพูดทั้งที่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้นจากภายนอกจริง ๆ งานวิจัยจำนวนมากชี้ว่าอาการเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการทำงานของสมองที่รับรู้และเฝ้าระวังตนเอง (self-monitoring network; Allen, Aleman, & McGuire, 2007) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกลไกที่ช่วยให้เรารับรู้ว่าเสียงในใจเป็นเสียงของเราเอง

 

เสียงในใจไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะผู้ที่มีภาวะป่วยทางจิตใจเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อสุขภาวะทางจิต (psychological well-being) ของคนทั่วไปด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหาและคุณภาพของเสียงที่เราพูดกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์ตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง หรือเห็นใจตัวเอง เสียงเหล่านี้ล้วนส่งผลต่ออารมณ์ ความยืดหยุ่นทางจิตใจ และประสิทธิภาพในการคิดและตัดสินใจ เสียงในใจเชิงลบหรือตำหนิตัวเองบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้าโดยที่เราไม่รู้ตัว

 

การสังเกตและปรับเสียงในใจช่วยให้สามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ไม่ติดอยู่กับความคิดลบเพียงด้านเดียว แต่การสังเกตเสียงในใจของตนเองอาจทำได้ยาก ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอเสนอวิธีเพื่อช่วยให้คุณประเมินคำและวลีที่คุณพูดกับตัวเองในใจ ว่าเสียงในใจของคุณมีแนวโน้มไปทางวิจารณ์หรือสนับสนุนตัวเองมากกว่ากัน เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าเสียงในใจอาจส่งผลต่ออารมณ์และการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของคุณอย่างไร

 

 

วิธีสังเกตเสียงในใจและเสริมสร้างเสียงในใจที่สนับสนุนและเห็นใจตัวเอง

 

 

1. จดบันทึกเพื่อสะท้อนความคิดของตนเอง

 

ลองเขียนประโยคหรือความคิดที่วนอยู่ในหัว เพราะการจดบันทึกเป็นหนึ่งวิธีที่จะเผยรูปแบบของเสียงในใจให้เป็นรูปธรรม เช่น การวิจารณ์ตัวเองซ้ำ ๆ หรือการให้กำลังใจตัวเอง และช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนเสียงในใจไปในทางเห็นใจและสนับสนุนตัวเองมากขึ้น

 

2. พูดคุยกับคนที่เราไว้วางใจได้

 

ลองแบ่งปันความคิดกับเพื่อนหรือนักจิตวิทยาบำบัด การพูดออกมาจากเสียงในใจสามารถช่วยให้เห็นและเข้าใจความคิดและความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้น และบางครั้งเราอาจได้รับมุมมอง คำแนะนำ หรือการสนับสนุนการอารมณ์ สิ่งสำคัญคือการสะท้อนและพิจารณาเสียงในใจตัวเองหลังจากพูดคุย เพื่อค่อย ๆ ปรับเสียงวิจารณ์หรือเสียงลบให้เป็นเสียงที่สนับสนุนและเห็นใจตัวเอง เช่น เปลี่ยนจากเสียงในใจที่พูดว่า “ฉันทำพลาดอีกแล้ว ฉันที่มันโง่จริง ๆ ทำพลาดซ้ำ ๆ แบบนี้ตลอดเลย” เป็นเสียงเชิงบวกแทน เช่น “โอเค ฉันทำผิดไปในครั้งนี้ แต่ฉันก็เรียนรู้จากมันได้ หนหน้าจะลองปรับใหม่”

 

3. ฝึกความเห็นอกเห็นใจตัวเองและฝึกสมาธิ

 

ลองพูดกับตัวเองในใจอย่างมีเมตตา แม้เพียง 1–2 นาทีต่อวันก็สามารถสะสมเป็นการปรับเสียงในใจได้ถ้าหากทำต่อเนื่องเป็นระยะยาว การสังเกตและปรับเสียงในใจด้วยความเห็นอกเห็นใจสามารถลดความเครียด เพิ่มสมาธิ และเสริมความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Neff, 2003) เช่น

 

  • ฉันกำลังรู้สึกเครียดอยู่ตอนนี้ แต่ไม่เป็นไรนะ ฉันพยายามเต็มที่แล้ว ฉันไม่ต้องทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง
  • ทุกคนมีวันที่ยากลำบาก ฉันไม่ใช่คนเดียวที่พลาด ฉันสามารถให้อภัยตัวเองได้
  • ถึงแม้คนอื่นตำหนิฉันอย่างรุนแรง แต่ฉันไม่จำเป็นต้องวิจารณ์ตัวเองแบบนั้น ฉันสามารถใจดีกับตัวเองได้
  • ฉันต้องการดูแลตัวเองในตอนนี้ ฉันสามารถให้ความอบอุ่นและปลอบโยนตัวเองได้
  • ฉันกำลังฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเอง แม้จะล้มเหลวบ้าง แม้สิ่งนี้จะยากมาก แต่ฉันยังมีคุณค่าและสามารถก้าวต่อไปได้
  • ทุกคนมีข้อดีข้อเสีย ฉันก็เช่นกัน ฉันไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ฉันสามารถยอมรับความเป็นตัวเองและรักตัวเองได้

 

 

ดังนั้น เสียงในใจเป็นกระบวนการปกติในการคิด ซึ่งมีประโยชน์และสามารถปรับเปลี่ยนได้ การเข้าใจวิธีการทำงานของเสียงในใจ การสังเกตรูปแบบของเสียงในใจของตัวเรา และการปรับไปสู่การพูดคุยกับตนเองในเชิงสนับสนุนและเมตตาต่อตัวเอง สามารถช่วยสงเสริมสุขภาพจิต และทำให้เราเชื่อมถึงโลกภายในของเรา ทั้งความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เราอยู่กับตนเองอย่างมีสติและมีสุขภาวะทางจิตที่ดียิ่งขึ้น

 

 

 

รางการอ้างอิง

 

Alderson-Day, B., & Fernyhough, C. (2015). Inner speech: Development, cognitive functions, phenomenology, and neurobiology. Psychological Bulletin, 141(5), 931–965. https://doi.org/10.1037/bul0000021

 

Allen, P., Aleman, A., & McGuire, P. K. (2007). Inner speech models of auditory verbal hallucinations: Evidence from behavioural and neuroimaging studies. International Review of Psychiatry, 19(4), 407–415. https://doi.org/10.1080/09540260701486498

 

Hurlburt, R. T., & Heavey, C. L. (2001). Telling what we know: Describing inner experience. Trends in Cognitive Sciences, 5(9), 400–403. https://doi.org/10.1016/S1364-6613(00)01724-1

 

McCarthy-Jones, S., & Fernyhough, C. (2011). The varieties of inner speech: Links between quality of inner speech and psychopathological variables in a sample of young adults. Consciousness and Cognition, 20(4), 1586–1593. https://doi.org/10.1016/j.concog.2011.08.005

 

Neff, K. D. (2003). The development and validation of a scale to measure self-compassion. Self and Identity, 2(3), 223–250. https://doi.org/10.1080/15298860309027

 

Vygotsky, L. S. (1987). Thinking and speech (N. Minick, Trans.). In R. W. Rieber & A. S. Carton (Eds.), The collected works of L. S. Vygotsky (Vol. 1, pp. 39–285). Springer.

 

 


 

 

บทความโดย

อาจารย์ ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์

ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาปริชาน

 

แสดงความยินดีกับ นางสาวปัฌรวี ชยวรารักษ์ ที่ได้รับสามเหรียญเงินจากรายการ 11th Asian Aquatics Championships 2025

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ นางสาวปัฌรวี ชยวรารักษ์ นิสิตคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักกีฬาระบำใต้น้ำจากทีมสมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย ที่ได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการ 11th Asian Aquatics Championships 2025 ที่ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 2-9 ตุลาคม 2568

 

มีผลงาน 3 เหรียญเงิน ดังนี้

 

  1. Team Free = 187.3013 คะแนน
  2. Team Technical = 210 คะแนน
  3. Team Acrobatic = 154.5151 คะแนน
  4. Woman Duet = 208 คะแนน (ที่ 4 )

 

 

 

 

 

 

 

 

พิธีวางพวงมาลาถวายสักการะและถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

 

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2568 เวลา 07.30 น. ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร คณะจิตวิทยา โดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี คุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณเวณิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะและถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน “วันนวมินทรมหาราช” ซึ่งนำโดย ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ พร้อมด้วยกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหารจุฬาฯ คณาจารย์ บุคลากร นิสิตจุฬาฯ และผู้แทนจากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ

 

 

 

 

“จิตวิทยา จุฬาฯ” ร่วมมือ “สสส.” เปิดรับสมัคร “Thai Mind Awards” รุ่นที่ 2 เพื่อค้นหาองค์กรต้นแบบสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตแก่บุคลากร

 

วันที่ 10 ตุลาคม 2568
สถานที่ อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

 

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (TIMS) โดยความสนับสนุนของ สสส. เปิดรับสมัครองค์กร เพื่อร่วมคัดเลือกให้เป็น “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” เพื่อเป็นต้นแบบองค์กรดีเด่นด้านการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของพนักงานให้แก่องค์กรอื่น ๆ ภายใต้โครงการ Thai Mind Awards ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในปีที่ผ่านมา โดยมีองค์กรเข้าร่วมสมัครกว่า 50 องค์กร และมีบุคลากรกว่า 2,000 คนร่วมสะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายสุขภาวะทางจิตในองค์กร

 

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวต้อนรับสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ โดยระบุว่า คณะจิตวิทยา จุฬาฯ และสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (TIMS) ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนโครงการ Thai Mind Awards อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างองค์กร และผลักดันวัฒนธรรมการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตในที่ทำงานให้เติบโตอย่างยั่งยืน

 

ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานในพิธีเปิด ได้กล่าวถึงความสำคัญของสุขภาวะในที่ทำงาน โดยย้ำว่า “สุขภาวะที่ดีเป็นรากฐานของการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการ Thai Mind Awards สะท้อนบทบาทของจุฬาฯ ในการเป็นมหาวิทยาลัยไทยคุณภาพระดับโลก ที่สร้างคุณค่าของการเปลี่ยนชีวิตผ่านภูมิปัญญาแห่งนวัตกรรม ความเชี่ยวชาญ และจิตวิญญาณเพื่อสังคม”
ทั้งนี้ อธิการบดีได้กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของจุฬาฯ ที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และเป็นต้นแบบขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับความสุขและคุณภาพชีวิตของบุคลากร เพื่อจุดประกายให้องค์กรไทยร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการทำงานที่ดีอย่างยั่งยืน

 

ดร. นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต และผู้ร่วมก่อตั้งสถาบัน TIMS กล่าวถึงความสำคัญของปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มคนทำงานว่าจากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต พบว่าคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน มีภาวะเครียดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับอดีต ถือเป็น “ภัยเงียบในองค์กร” ที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งจากผู้บริหารและภาคส่วนต่าง ๆ

 

“ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทั้งบุคคล องค์กร และประเทศต้องร่วมมือกัน โครงการ Thai Mind Awards จึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้องค์กรมองเห็นต้นตอของปัญหา และสามารถพัฒนาแนวทางป้องกันในระดับนโยบายได้อย่างเป็นระบบ”

 

 

 

 

 

ภายหลังการเปิดงาน มีการเสวนาในหัวข้อ “การเข้าร่วมการคัดเลือกสุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต Thai Mind Awards” ดำเนินรายการโดย ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์

 

ดร. นพ.วรตม์ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันคนไทยมีความตระหนักและเปิดใจพูดถึงปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น และมีการตีตราทางสังคมลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม สถิติยังชี้ว่าประชาชนไทยกว่า 24% เคยประสบปัญหาสุขภาพจิตอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และกว่า 4.3 ล้านคนมีปัญหาสุขภาพจิตในรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและ Gen Z ที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นการทำงาน (First Jobber) ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันและสื่อสังคมออนไลน์

 

“องค์กรจึงมีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่ปลอดภัย ที่ช่วยให้คนทำงานได้เรียนรู้ เข้าใจ และจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน”

 

ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้รับผิดชอบโครงการ Thai Mind Awards กล่าวว่า “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต หมายถึง องค์กรที่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เพียงทำให้พนักงานมีความสุขและพึงพอใจกับงานเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมให้บุคลากรรู้สึกมีคุณค่า เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง และมีพลังในการบรรลุเป้าหมายทั้งของตนและขององค์กรได้อย่างเต็มศักยภาพ”

 

จากผลการสำรวจในปีที่ผ่านมา พบว่าองค์กรที่ได้รับรางวัล “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” ล้วนมีจุดร่วมสำคัญ คือการดูแลพนักงานในทุกมิติ จนกลายเป็น “วัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจและเข้าใจคน” อย่างแท้จริง ครอบคลุม 5 มิติหลักของ GRACE Model ได้แก่

    • Growth & Development – ส่งเสริมการเรียนรู้และการเติบโตของบุคลากร
    • Recognition – ยกย่องชื่นชมและให้คุณค่ากับผลงานของพนักงาน
    • All for Inclusion – สร้างวัฒนธรรมแห่งการมีส่วนร่วมและการเป็นเจ้าของร่วมกัน
    • Care for Health & Safety – ดูแลสุขภาวะและความปลอดภัยทั้งกายและใจ
    • Work-Life Enrichment – ผสานคุณค่าในงานและชีวิตส่วนตัวให้สมดุลและมีความหมาย

 

หากองค์กรสามารถดูแลครบทั้ง 5 ด้านนี้ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะช่วยเสริมสร้าง “ความมั่นใจ ความผูกพัน และแรงบันดาลใจ” ให้แก่บุคลากร ซึ่งจะสะท้อนกลับมาในรูปของประสิทธิภาพการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมที่เกิดจาก “พลังใจที่ดี” ของคนในองค์กร นอกจากนี้ ผศ. ดร.ประพิมพา ยังได้เชิญชวนองค์กรทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรสาธารณะ เข้าร่วมสมัครคัดเลือกเป็น “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” ภายใต้โครงการ Thai Mind Awards รุ่นที่ 2 ทั้งยังแนะนำรายละเอียด ขั้นตอนการสมัคร และกำหนดการสำคัญของการสมัครอีกด้วย โดยการประเมินจะพิจารณาจากทั้ง มิติของ GRACE Model และกระบวนการดำเนินงานตาม FEEL Model ซึ่งสะท้อนความเป็นระบบและความยั่งยืนในการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตขององค์กร ประกอบด้วย

    • Formulate – การวางแผนและออกแบบแนวทางการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตในองค์กร
    • Enact – การนำแนวทางดังกล่าวไปปฏิบัติจริงและบูรณาการในนโยบายองค์กร
    • Evaluate – การประเมินผลและปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    • Leverage – การต่อยอดผลลัพธ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อบุคลากรและองค์กรในวงกว้าง

 

“การเข้าร่วมโครงการ Thai Mind Awards ไม่ได้เป็นเพียงเวทีประกวดเพื่อรับรางวัลเท่านั้น แต่คือโอกาสในการสะท้อนแนวปฏิบัติที่ดี เรียนรู้จากประสบการณ์ขององค์กรอื่น และร่วมกันสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมไทย องค์กรที่ใส่ใจสุขภาวะทางจิตของพนักงาน ไม่เพียงสร้างคนที่มีความสุข แต่ยังสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับองค์กรและประเทศชาติ”

 

 

 

 

 

คุณณรงค์ศักดิ์ โคสี ตัวแทนจากบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) สาขาปราจีนบุรี หนึ่งในองค์กรที่ได้รับรางวัล Thai Mind Awards รุ่นแรก กล่าวว่า “การเข้าร่วมโครงการ Thai Mind Awards ทำให้องค์กรของเรามองเห็นแนวคิดเรื่องการดูแลสุขภาวะของบุคลากรอย่างเป็นระบบและชัดเจนยิ่งขึ้น จากสิ่งที่เราทำอยู่แล้วในองค์กร เราสามารถนำมาตีกรอบและพัฒนาให้เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ผ่านมุมมองของ GRACE Model ที่ช่วยให้เราเข้าใจว่า สุขภาวะทางจิตของพนักงานคือรากฐานของความสำเร็จขององค์กร” ในฐานะฝ่ายบริหาร องค์กรให้ความสำคัญกับ “นโยบายที่มาจากความใส่ใจ” เพื่อสะท้อนให้พนักงานทุกคนเห็นว่าพวกเขามีคุณค่าและมีความหมายต่อองค์กรจริง ๆ

 

“เรามีหลากหลายโปรแกรมที่มุ่งสร้างความสุขให้พนักงาน โดยเฉพาะกิจกรรม Management Walk About ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้บริหารและพนักงานได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เกิดความเข้าใจและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน หัวหน้างานในทุกระดับจึงเป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงนโยบายการดูแลพนักงานกับการปฏิบัติจริงในแต่ละวัน”

 

“รางวัล Thai Mind Awards เป็นความภาคภูมิใจของทุกคนในบริษัท เพราะสะท้อนให้เห็นว่าพนักงานของเรา ‘มีความสุขในการทำงานจริง’ และนั่นคือพลังที่ขับเคลื่อน Western Digital ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง”

 

คุณณรงค์ศักดิ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันองค์กรได้นำแนวคิดจากโครงการนี้ไปต่อยอดสู่การจัดทำ หลักสูตรการพัฒนาความสุขของพนักงาน เพื่อเสนอต่อกรมพัฒนาแรงงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และแนวทางการดูแลสุขภาวะของบุคลากรให้กับองค์กรอื่น ๆ ในวงกว้าง “เราหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการขยายแรงบันดาลใจนี้ต่อไป เพื่อให้องค์กรไทยทุกแห่งเห็นว่า ความสุขของคนทำงาน คือพลังสำคัญที่ทำให้องค์กรแข็งแรงและสังคมเติบโตอย่างยั่งยืน”

 

 

 

 

 

องค์กรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต (Thai Mind Awards)” สามารถสมัครและส่งผลงานได้ที่ แบบฟอร์มการรับสมัคร ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน 2568

ทุกองค์กรที่เข้าร่วมจะได้รับ

    • ประกาศนียบัตรการเข้าร่วม
    • รายงานผลการประเมินสุขภาวะทางจิตของบุคลากร ที่วิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและทรัพยากรมนุษย์

 

ส่วนองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ชนะจะได้รับ โล่รางวัลและประกาศนียบัตร Thai Mind Awards พร้อมโอกาสในการร่วม แลกเปลี่ยนความรู้กับองค์กรต้นแบบ และได้รับการเผยแพร่เรื่องราวผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ของคณะจิตวิทยา จุฬาฯ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่องค์กรอื่น ๆ ทั่วประเทศ

 

 


 

 

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชนติดต่อ:

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
– คุณบุณยาพร อนะมาน 081-659-8780

 

 

เปิดรับสมัครองค์กรในประเทศไทย เพื่อเฟ้นหา 5 “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” รุ่นที่ 2 Thai Mind Awards 2026

 

เปิดรับสมัครองค์กรในประเทศไทย เพื่อเฟ้นหา 5 “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” รุ่นที่ 2

Thai Mind Awards 2026

เพื่อเป็นแบบอย่างและแนวทางให้แก่องค์กรอื่นๆ ในด้านการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตที่ดีให้แก่พนักงาน

 

 

 

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญชวนองค์กรในประเทศไทยทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เข้าร่วมสมัครเพื่อรับการคัดเลือกเป็น “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” รุ่นที่ 2 Thai Mind Awards 2026 ชิงถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรในมิติที่โดดเด่น จำนวน 5 รางวัล พร้อมได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ขององค์กร ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ของคณะจิตวิทยา จุฬาฯ เพื่อเป็นแบบอย่างและแนวทางให้องค์กรอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างสุขภาวะทางจิตที่ดีให้แก่พนักงานต่อไป

 

 

หากองค์กรของคุณ มีโปรแกรมที่ส่งเสริมพนักงานในทุกมิติ หรือมิติใดมิติหนึ่งของ GRACE ได้แก่

 

  • G = Growth & Development – สนับสนุนด้านการเติบโตและพัฒนาการของพนักงาน
  • R = Recognition – สนับสนุนด้านการแสดงออกและการรับรู้ถึงความสามารถและความสำเร็จของพนักงาน
  • A = All for inclusion – สนับสนุนด้านการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของพนักงาน
  • C = Care for health & safety – สนับสนุนด้านการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน
  • E = work-life Enrichment – สนับสนุนความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

 

 


 

รายละเอียดเพิ่มเติม TMA 2026 applications

 


 

 

องค์กรที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการและส่งผลงานได้ที่

 

 

 

ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ถึง 15 พฤศจิกายน 2568

 

 

 

 

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม E-mail : thaimindawards@chula.ac.th

 

 

 

 

ความรุนแรง – Violence

 

ความรุนแรง หมายถึง การกระทำที่เป็นความจงใจใช้กำลังหรืออำนาจทางกายข่มขู่ คุกคาม ทำร้ายตนเอง ผู้อื่น กลุ่มคนหรือสังคม ทำให้เกิดการบาดเจ็บ เสียชีวิต การทำร้ายจิตใจ ยับยั้ง และปิดกั้นการเจริญงอกงาม สูญเสีย หรือจำกัดสิทธิบางประการ

 

 

องค์การอนามัยโลกได้แบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

 

  1. ความรุนแรงต่อตนเอง หมายถึง ลักษณะความรุนแรงที่เกิดจากการที่บุคคลกระทำต่อตนเอง แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่ พฤติกรรมฆ่าตัวตาย และพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง
  2. ความรุนแรงระหว่างบุคคล หมายถึง ความรุนแรงที่กระทำโดยบุคคลอื่น หรือกลุ่มบุคคลอื่น แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่ ได้แก่ ความรุนแรงในครอบครัวและคู่ครอง และความรุนแรงในชุมชน
  3. ความรุนแรงระดับกลุ่ม หมายถึง ความรุนแรงที่กระทำโดยกลุ่มบุคคล แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทย่อย ได้แก่ ความรุนแรงทางสังคม ความรุนแรงทางการเมือง และความรุนแรงทางเศรษฐกิจ

 

 

ส่วนลักษณะของการกระทำความรุนแรงหรือวิธีการที่ใช้ในการแสดงออกถึงความรุนแรง มีดังนี้

 

  1. ความรุนแรงทางร่างกาย หมายถึง การได้รับบาดเจ็บโดยผู้กระทำความรุนแรงต่อผู้ถูกกระทำ เช่น การทะเลาะวิวาท เตะ ต่อย และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ
  2. ความรุนแรงทางเพศ หมายถึง การกระทำต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ผู้ถูกกระทำเป็นเครื่องตอบสนองความต้องการทางเพศของผู้กระทำ โดยอาจใช้กำลังบังคับ หลอกลวง ข่มขู่ หรือชักชวนให้สิ่งตอบแทน
  3. ความรุนแรงทางจิตใจ หมายถึง การถูกทำร้ายจิตใจและควบคุมบังคับจิตใจ ทำให้รู้สึกอับอาย รู้สึกด้อยค่า หรือลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ลง
  4. ความรุนแรงจากความสูญเสียหรือการถูกละเลยทอดทิ้ง หมายถึง การไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่และคุ้มครองอย่างเหมาะสม การถูกละเลยในเรื่องปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต หรือสุขภาพอนามัย จนเกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ

 

 

 

 

สมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริการายงานว่าความรุนแรงเกิดจากสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้

 

  1. การแสดงออก – บุคคลใช้ความรุนแรงเพื่อเป็นการปลดปล่อยความรู้สึกโกรธหรือหงุดหงิด การที่บุคคลคิดว่าตัวเขาไม่มีคำตอบสำหรับปัญหาจึงกลายเป็นความรุนแรงในการแสดงอารมณ์ที่ปราศจากการควบคุม
  2. ความต้องการควบคุมจัดการ – การเลือกใช้วิธีการควบคุมให้ผู้อื่นทำตามสิ่งที่ตนต้องการ รวมทั้งการแก้แค้นผู้อื่นหรือบุคคลที่เขารักที่ทำให้เขาเจ็บปวด
  3. การเรียนรู้จากตัวแบบ – เมื่อบุคคลเห็นว่าตัวแบบใช้การรุนแรงในการแก้ปัญหา และได้รับในสิ่งที่ต้องการหรือไม่ได้รับโทษจากความรุนแรงนั้น บุคคลก็จะรับรู้และซึมซับความรุนแรงเป็นแนวทางหนึ่งในการตอบสนอของตน

 

เช่นเดียวกับพฤติกรรมอื่น ๆ ความรุนแรงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความรุนแรงไม่ได้เกิดจากสาเหตุเพียงสาเหตุเดียว การใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหาจึงทำได้ยาก สิ่งที่ดีที่สุดคือการสังเกตสิ่งที่เป็นสัญญาณเตือนถึงความรุนแรงแล้วรีบดำเนินการช่วยเหลือ

 

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

จิระสุข สุขสวัสดิ์. (2554). ความรุนแรงระดับกลุ่มอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบ การเผชิญปัญหา และความสุขของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีภูมิลำเนาในเขตพื้นที่ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย: การวิจัยแบบผสานวิธี [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2011.267

 

กิตติพรรณ ศิริทรัพย์. (2553). ประสบการณ์ทางจิตใจของผู้สูงอายุที่ถูกกระทำรุนแรง [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2010.306

 

Cr. ภาพ