



การเปิดเผยตนเอง หมายถึง การที่บุคคลเปิดเผยความคิด ความรู้สึก รวมถึงข้อมูลของตนเองต่อผู้อื่น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและไว้วางใจกับระหว่างบุคคล ซึ่งนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
หากบุคคลเปิดเผยตนเองอย่างเหมาะสม ถูกกาลเทศะ จะได้รับประโยชน์อย่างมาก เนื่องจาก
อย่างไรก็ตาม หากการเปิดเผยตนเองนั้นไม่เหมาะสมหรือรวดเร็วเกิดไป ก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงได้ ดังนั้น บุคคลไม่ควรเปิดเผยตนเองรวดเร็วเกิดไป และลักษณะสภาพแวดลล้อมต่าง ๆ ในการเปิดเผยตนเองจำเป็นต้องก่อให้เกิดความไว้วางใจต่อกัน โดยเริ่มจากการเปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นทั่ว ๆ ไปก่อน และก่อนการเปิดเผยข้อมูลที่มีความลึกซึ้ง จำเป็นต้องดูการตอบสนองของฝ่ายตรงข้ามด้วย หรือสังเกตจากข้อมูลที่ฝ่ายตรงข้ามเปิดเผยแก่เรา
สรุปได้ว่า การเปิดเผยตนเองช่วยเพิ่มความไว้วางใจ เพิ่มความใกล้ชิด เพิ่มการเห็นคุณค่าในตน เพิ่มความปลอดภัย และช่วงส่งเสริมความงอกงามของบุคคล ขณะที่ความเสี่ยงที่จะได้รับจากการเปิดเผยตนเอง ได้แก่ การถูกผู้อื่นปฏิเสธ ถูกผู้อื่นดูถูก และถูกผู้อื่นทำลายความเชื่อมั่นของเรา

Joseph และ Harrison ได้สร้างหน้าต่าง Johari Window เพื่ออธิบายถึงการเปิดเผยตนเองต่อคู่สื่อสารไว้ดังนี้
ทั้งนี้ อาณาเขตทั้งสี่ของแต่ละบุคคลจะไม่เท่ากัน และแตกต่างกันตามลักษณะของบุคคล อาณาเขตดังกล่าวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นจะส่งผลถึงระดับการเปิดเผยตนเองของบุคคล เช่น หากอาณาเขตของบริเวณที่เปิดเผยมาก ก็จะส่งผลให้อาณาเขตของส่วนอื่นลดลง และส่งผลต่อระดับการเปิดเผยตนเองที่สูงขึ้นของบุคคลนั้น
ฐิติภูมิ งามสมจันทร์, ธนาภรณ์ กองพล, & เอมิกา รุ่งวานิชการ. (2553). อิทธิพลของแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ แรงจูงใจใฝ่ใกล้ชิด การเปิดเผยตนเองและการเห็นคุณค่าในตนเองต่อการใช้แอพพลิเคชั่น “การรับเพื่อน” ในเฟชบุ๊ก [โครงการวิชาการวิทยาศาสตรบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:9115
ณัฐรดา อยู่ศิริ, สุพิชฌาย์ นันทภานนท์, & หทัยพร พีระชัยรัตน์. (2557). ความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดเผยตนเอง ความเหงา และการทำหน้าที่ของครอบครัวต่อพฤติกรรม การเสพติดอินเทอร์เน็ต [โครงการวิชาการวิทยาศาสตรบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:9260
เมื่อพูดถึง Myers-Briggs Type Indicator หรือ MBTI หลาย ๆ คนก็อาจนึงถึงเครื่องมือวัดบุคลิกภาพที่แบ่งบุคลิกภาพของบุคคลออกเป็น 16 ประเภท ตามตัวอักษรย่อที่กำกับไว้ เช่น ESTJ ฯลฯ ซึ่งการแปลความหมายรูปแบบนี้จะถูกนำไปใช้ในหลากหลายบริบท อาทิ การบริหารทรัพยากรบุคคล (Gardner & Martinko, 1996) การพัฒนาบุคคลและทีมงาน และการทำความเข้าใจบุคคล อย่างไรเสีย การแปลความหมายการวัดทางจิตวิทยาควรจะมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุน ด้วยเหตุนี้ บทความนี้จะพูดถึงข้อควรระวังในการใช้ MBTI จากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่อยู่ในบทความทางวิชาการ
MBTI ถูกพัฒนาขึ้นจากทฤษฎีของ Carl Jung ที่พูดถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลใน 3 มิติ คือ
ส่วนมิติที่สี่ของ MBTI คือ
มิติสุดท้ายนี้ไม่ได้อยู่ในทฤษฎีของ Carl Jung แต่ถูกพัฒนาขึ้นในภายหลังจากผู้พัฒนา MBTI (Myers et al., 1998)
การใช้ข้อมูลจาก MBTI มีความหลากหลาย เช่น นักจิตวิทยาอาจ (i) ใช้คะแนนดิบแต่ละด้าน เช่น คะแนน E และคะแนน I (ii) ใช้คะแนนความแตกต่างระหว่างด้านในมิติเดียวกัน เช่น ผลลบระหว่างคะแนน E และคะแนน I (iii) ใช้ “ทิศทาง” ของด้านที่มีคะแนนมากกว่า เช่น บุคคลมีบุคลิกภาพแบบ “E” และ (iv) ใช้คะแนนมาตรฐานต่าง ๆ เช่น คะแนนมาตรฐาน z
นักวิชาการและนักวิจัยจำนวนหนึ่ง (Lorr, 1991; Pittenger, 2005; Zárate-Torres & Correa, 2023) ส่งคำเตือนสำหรับการใช้ MBTI เพื่อการประเมินบุคลิกภาพของบุคคล ด้วยการแบ่งบุคลิกภาพของบุคคลออกเป็น 16 ประเภท โดยอ้างอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ในหลากหลายประการ ซึ่งได้แก่
ประการแรก จากการแปลความหมายคะแนนที่ได้จากการประเมินเป็นบุคลิกภาพ 16 ประเภท ทฤษฎีที่รองรับการแปลความหมายนี้จึงเป็นทฤษฎี “บุคลิกเอกลักษณ์” (type theory) แทนที่จะเป็นทฤษฎี “บุคลิกลักษณะ” (trait theory) ทฤษฎีบุคลิกเอกลักษณ์บรรยายว่า บุคคลที่ถูกจัดให้มีบุคลิกภาพประเภทเดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกัน มากกว่า บุคคลที่ถูกจัดให้มีบุคลิกภาพคนละประเภท (ในบริบททางสถิติ เราจะเรียกปรากฏการณ์แรก [บุคลิกภาพประเภทเดียวกันจะคล้ายคลึงกัน] ว่า within-group homogeneity และเรียกปรากฏการณ์หลัง [บุคลิกภาพคนละประเภทจะแตกต่างกัน] ว่า between-group heterogeneity) ส่วนทฤษฎีบุคลิกลักษณะบรรยายว่า บุคลิกภาพของบุคคลจะมีระดับแตกต่างกันเสมือนอยู่บนเส้นจำนวน (หรืออยู่บนไม้บรรทัด)
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพิจารณา การกระจาย ของคะแนนบุคลิกภาพมิติหนึ่ง ๆ การกระจายของคะแนนบุคลิกภาพภายใต้ทฤษฎีบุคลิกเอกลักษณ์ควรจะอยู่ในลักษณะการกระจายแบบ bimodal (bi = 2 และ modal = mode [ฐานนิยม]) ซึ่งกราฟจะเหมือนภูเขา 2 ลูก ที่อยู่ทางซ้ายและทางขวาของแกน x ส่วนการกระจายของคะแนนบุคลิกภาพภายใต้ทฤษฎีบุคลิกลักษณะควรจะอยู่ในลักษณะการกระจายแบบ unimodal (uni = 1) ซึ่งกราฟจะเหมือนภูเขาลูกเดียวที่อยู่ตรงกลางของแกน x

ความแตกต่างหลัก ๆ ของกราฟภูเขา 2 ลูก และกราฟภูเขาลูกเดียว คือ สัดส่วนของคนที่มีคะแนนบุคลิกภาพอยู่ตรงกลาง สำหรับกราฟภูเขา 2 ลูก คนที่มีคะแนนบุคลิกภาพอยู่ตรงกลางจะมีจำนวนน้อย แต่สำหรับกราฟภูเขาลูกเดียว คนที่มีคะแนนบุคลิกภาพอยู่ตรงกลางจะมีจำนวนมาก ประเด็นสำคัญ คือ การกระจายของคะแนนบุคลิกภาพในงานวิจัยต่าง ๆ (Bess & Harvey, 2002; McCrae & Costa, 1989) มักจะเป็นไปตามทฤษฎีบุคลิกลักษณะมากกว่าทฤษฎีบุคลิกเอกลักษณ์ ซึ่งเท่ากับว่า การแปลความหมายคะแนนบุคลิกภาพ แยกประเภท (เช่น บุคคลเป็น Extraversion หรือ Introversion) จะละเลยคนที่มีคะแนนบุคลิกภาพอยู่ตรงกลาง ซึ่งอาจเป็นคนส่วนใหญ่ในกลุ่มสังคมหนึ่ง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อประเมินบุคลิกภาพของบุคคลด้วยสเกลประเมินค่า (rating scale) ที่การตอบข้อความแต่ละด้านเป็นอิสระต่อกัน (กล่าวคือ การตอบข้อความที่สะท้อน Extraversion [E] จะไม่เกี่ยวข้องกับการตอบข้อความที่สะท้อน Introversion [I] ซึ่งหมายความว่า บุคคลอาจมีคะแนน E และ I สูงหรือต่ำพอ ๆ กันได้) แทนที่จะประเมินด้วยรูปแบบการตอบแบบบังคับเลือก (forced-choice format) ที่การตอบข้อความแต่ละด้าน ไม่ เป็นอิสระต่อกัน (กล่าวคือ การตอบข้อความที่สะท้อน E จะเท่ากับการ ไม่ ตอบข้อความที่สะท้อน I ซึ่งเป็นรูปแบบการตอบมาตรฐานของ MBTI) Girelli และ Stake (1993) พบว่า ผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวนหนึ่งมีคะแนนบุคลิกภาพ 2 ด้าน ในมิติเดียวกัน สูงพอ ๆ กัน (ร้อยละ 8.1 สำหรับมิติ EI ร้อยละ 14.4 สำหรับมิติ Sensing-Intuition [SN] และร้อยละ 13.6 สำหรับมิติ Thinking-Feeling [TF]) และคะแนนบุคลิกภาพ 2 ด้าน ในมิติ SN มี ความสัมพันธ์ทางบวก ซึ่งกันและกัน และในมิติ TF ไม่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับทฤษฎีที่คะแนนบุคลิกภาพ 2 ด้าน ในมิติเดียวกัน ควรจะมีความสัมพันธ์ทางลบซึ่งกันและกัน
Girelli และ Stake ให้คำอธิบายว่า
ประการที่สอง การแบ่งบุคลิกภาพของบุคคลออกเป็น 16 ประเภท อาจไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง (ของกลุ่มบุคคลหนึ่ง ๆ) และอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้ค่อนข้างจำกัด
Lorr (1991) วิเคราะห์ข้อมูลจาก MBTI ฟอร์ม G (ซึ่งเป็นฟอร์มที่ใช้กันโดยทั่วไป) ด้วยการวิเคราะห์การจัดกลุ่ม (cluster analysis) แล้วพบว่า “โปรไฟล์” บุคลิกภาพ 4 มิติ (Extraversion-Introversion [EI] Sensing-Intuition [SN] Thinking-Feeling [TF] และ Judging-Perceiving [JP]) จัดกลุ่มได้ประมาณ 4 หรือ 5 กลุ่มเท่านั้น และโปรไฟล์บุคลิกภาพของกลุ่มส่วนใหญ่ไม่ได้สะท้อนฟังก์ชั่นเด่นของบุคลิกภาพ ครบทั้ง 4 มิติ เช่น บางกลุ่มอาจมีโปรไฟล์บุคลิกภาพ คือ “ESJ” ซึ่งมิติ TF ไม่ได้เป็นลักษณะสำคัญของกลุ่มนี้ ซึ่งสมาชิกในกลุ่มอาจมีคะแนนมิติ TF กระจุกอยู่ตรงกลาง หรือสมาชิกในกลุ่มอาจมีสัดส่วนของ T และ F พอ ๆ กัน งานวิจัยนี้แสดงความแตกต่างระหว่างการแบ่งประเภทตามทฤษฎีและการแบ่งประเภทตามหลักฐานเชิงประจักษ์ Lorr ให้เหตุผลว่า การแบ่งประเภทตามทฤษฎี 16 ประเภท ไม่ได้ใช้ข้อมูลค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของโปรไฟล์ และใช้แค่ข้อมูลคะแนนมากกว่า/น้อยกว่าของด้านต่าง ๆ เท่านั้น การใช้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนอาจก่อให้เกิด “โปรไฟล์ลวง” ขึ้นมา
จากตัวอย่างข้างต้น การแบ่งประเภทตามทฤษฎี 16 ประเภท อาจแปลผลคะแนนของบุคคลเป็น “ESTJ” ทั้ง ๆ ที่บุคคลอาจมีคะแนนด้าน T และ F ใกล้กันมาก หรือมิติ TF อาจไม่ได้เป็นลักษณะสำคัญที่ใช้แยกแยะ ประชากรกลุ่มหนึ่ง ๆ ซึ่งเท่ากับว่า การแบ่งประเภทตามทฤษฎี 16 ประเภท อาจบังคับให้บุคคลมีความแตกต่างกันมากเกินความจำเป็น (Pittenger, 2005)
ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติม คือ MBTI เวอร์ชั่นแรก ๆ มีการแปลผลด้วยตัวอักษร “X” หากบุคคลมีคะแนน 2 ด้าน ในมิติหนึ่ง ๆ เท่ากัน แต่แนวทางนี้ถูกยกเลิกในภายหลัง คาดว่าเนื่องจาก ความคลุมเครือ ในการแบ่งประเภทบุคลิกภาพของบุคคล อย่างไรก็ตาม เมื่อมองด้วยหลักการพื้นฐานของการวัดทางจิตวิทยาแล้ว การแปลความหมายบุคลิกภาพของบุคคลว่า “คลุมเครือ” จากคะแนนที่คลุมเครือ (อยู่ตรงกลาง ไม่ได้เอนเอียงไปที่ด้านใดด้านหนึ่งอย่างชัดเจน) อาจสะท้อนความเป็นจริงมากกว่า การแปลความหมายบุคลิกภาพของบุคคลให้อยู่ในประเภทหนึ่ง ๆ จากคะแนนที่คลุมเครือ
ประการที่สามและสี่ เนื่องจาก MBTI ประเมินบุคลิกภาพของบุคคล ซึ่งเป็นลักษณะทางจิตวิทยาที่ ค่อนข้างคงที่ ภายใต้ช่วงเวลาและสถานการณ์ที่แตกต่างกัน คะแนนบุคลิกภาพจาก MBTI ก็ควรจะมีความคงที่ด้วย อย่างไรก็ตาม งานวิจัยพบว่า คะแนนบุคลิกภาพมีความคงที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นตามทฤษฎี (Carskadon, 1977) และบุคคลอาจมีโปรไฟล์บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์ (Myers et al., 1998) นอกจากนั้น คะแนนบุคลิกภาพอาจมีความคลุมเครือในการทำนายผลลัพธ์ที่ (กลุ่ม) บุคคลต้องการ
งานวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนบุคลิกภาพกับความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence [Higgs, 2001]) และพฤติกรรมที่สะท้อนภาวะผู้นำ (leadership-related behaviors [Zárate-Torres & Correa, 2023]) มีขนาดอิทธิพลน้อยและไม่สอดคล้องกับทฤษฎี และข้อสังเกตที่สำคัญ คือ การใช้ข้อมูลบุคลิกภาพของบุคคลในการวิจัยและการใช้ข้อมูลบุคลิกภาพของบุคคลในทางปฏิบัติ มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ยกตัวอย่างเช่น Higgs (2001) ใช้คะแนนบุคลิกภาพ แยกด้าน (เช่น คะแนน Extraversion และคะแนน Introversion) ส่วน Zárate-Torres และ Correa (2023) สกัดตัวแปรแฝง “บุคลิกภาพ” จากคะแนนบุคลิกภาพแต่ละมิติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับการใช้โปรไฟล์บุคลิกภาพ
นักจิตวิทยาและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียควรจะใช้ MBTI ประเมินบุคลิกภาพของบุคคลอย่างเหมาะสมและเป็นไปตามหลักการ “การประเมินทางจิตวิทยาที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุน” (evidence-based psychological assessment [Bornstein, 2017]) ในทางปฏิบัติ นักจิตวิทยาอาจ
การใช้งานเครื่องมือวัดทางจิตวิทยาควรจะสอดคล้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีอยู่ การบอกว่า “บุคคลมีบุคลิกภาพแบบ INFP” ย่อมต้องการหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุน น้อยกว่า การบอกว่า “บุคคลมีบุคลิกภาพแบบ INFP ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับการทำงานด้าน…” ยิ่งการบรรยาย “สรรพคุณ” ของบุคคลกินความกว้าง หลักฐานเชิงประจักษ์ที่นำมาสนับสนุนควรจะยิ่งมากตาม ซึ่งหลักการนี้จะเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับนักจิตวิทยาและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่ต้องการใช้ MBTI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประเมินที่มีเดิมพันสูง (high-stake assessment)
Bess, T. L., & Harvey, R. J. (2002). Bimodal score distributions and the Myers-Briggs Type Indicator: Fact or artifact? Journal of Personality Assessment, 78(1), 176-186. https://doi.org/10.1207/s15327752jpa7801_11
Bing, M., & Davison, H., & Smothers, J. (2014). Item-level frame-of-reference effects in personality testing: An investigation of incremental validity in an organizational setting. International Journal of Selection and Assessment, 22(2), 165-178. https://doi.org/10.1111/ijsa.12066
Bornstein, R. F. (2017). Evidence-based psychological assessment. Journal of Personality Assessment, 99(4), 435-445. https://doi.org/10.1080/00223891.2016.1236343
Carskadon, T. G. (1977). Test-retest reliabilities of continuous scores on the Myers-Briggs Type Indicator. Psychological Reports, 41(3), 1011-1012. https://doi.org/10.2466/pr0.1977.41.3.1011
Gardner, W. L., & Martinko, M. J. (1996). Using the Myers-Briggs Type Indicator to study managers: A literature review and research agenda. Journal of Management, 22(1), 45-83. https://doi.org/10.1177/014920639602200103
Girelli, S. A., & Stake, J. E. (1993). Bipolarity in Jungian type theory and the Myers-Briggs Type Indicator. Journal of Personality Assessment, 60(2), 290-301. https://doi.org/10.1207/s15327752jpa6002_7
Haslam, N., Holland, E., & Kuppens, P. (2012). Categories versus dimensions in personality and psychopathology: A quantitative review of taxometric research. Psychological Medicine, 42(5), 903-920. https://doi.org/10.1017/S0033291711001966
Higgs, M. (2001). Is there a relationship between the Myers-Briggs Type Indicator and emotional intelligence? Journal of Managerial Psychology, 16(7), 509-533. https://doi.org/10.1108/EUM0000000006165
Lorr, M. (1991). An empirical evaluation of the MBTI typology. Personality and Individual Differences, 12(11), 1141-1145. https://doi.org/10.1016/0191-8869(91)90077-O
Masyn, K. E., Henderson, C. E., & Greenbaum, P. E. (2010). Exploring the latent structures of psychological constructs in social development using the dimensional-categorical spectrum. Social Development, 19(3), 470-493. https://doi.org/10.1111/j.1467-9507.2009.00573.x
McCrae, R. R., & Costa, P. T. (1989). Reinterpreting the Myers-Briggs Type Indicator from the perspective of the five-factor model of personality. Journal of Personality, 57(1), 17-40. https://doi.org/10.1111/j.1467-6494.1989.tb00759.x
Myers, I. B., McCaulley, M. H., Quenk, N. L., & Hammer, A. L. (1998). MBTI manual: A guide to the development and use of the Myers-Briggs Type Indicator. Palo Alto, CA: Consulting Psychologists Press.
Pittenger, D. J. (2005). Cautionary comments regarding the Myers-Briggs Type Indicator. Consulting Psychology Journal: Practice and Research, 57(3), 210-221. http://dx.doi.org/10.1037/1065-9293.57.3.210
Zárate-Torres, R., & Correa, J. (2023). How good is the Myers-Briggs Type Indicator for predicting leadership-related behaviors? Frontiers in Psychology, 14, 940961. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2023.940961
บทความโดย
รองศาสตราจารย์สักกพัฒน์ งามเอก
อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
วันที่ 27 สิงหาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี แห่งการสถาปนาสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ อาคารจุฬาพัตน์ 13 สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



วันที่ 19-24 สิงหาคม 2567 คณะจิตวิทยาโดยการประสานของ ศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ ได้ต้อนรับคณาจารย์และนักศึกษาจาก Department of Educational Psychology and Counselling, University of Malaya กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในโอกาสที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการจัดการประเด็นทางสุขภาพจิตเชิงนโยบายของสองประเทศ เยี่ยมชมศูนย์บริการทางจิตวิทยาของคณะจิตวิทยา 3 ศูนย์ฯ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ฯ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และศึกษาดูงานด้านการดูแลด้านสุขภาพจิตในเรือนจำ ณ เรือนจำกลางบางขวางและพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ กรมราชทัณฑ์ ตลอดจนเข้าร่วมการประชุมวิชาการสัญจร ซึ่งจัดโดยหลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยา ระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ร่วมกับสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย ณ พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม












คณะจิตวิทยา ขอแสดงความยินดีกับ คุณวาทินี สนลอย บุคลากรสายปฏิบัติการของคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้รับรางวัล The Excellence (ประเภทอินโฟกราฟิก) งานการออกแบบสื่อฯ ส่งเสริมพฤติกรรมด้านความปลอดภัย และรางวัล Chula Safety Ambassador 2024 จากศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาฯ ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567
ในวันเดียวกันนี้ คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ได้รับเกียรติบัตรการเข้าร่วมโครงการยกระดับความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานของสำนักงาน ประจำปี 2567 ดำเนินงานโดย ทีม Zero Waste สำนักบริหารระบบกายภาพ ศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SHECU) เพื่อมุ่งสู่การเป็นสำนักงานสีเขียว (Green office) ที่มีหลักปฏิบัติที่ดีในด้านความปลอดภัย ทั้งด้านการยศาสตร์ในสำนักงาน คอมพิวเตอร์ ความสะอาด สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน ตลอดจนการจัดการคัดแยกขยะ





ในประเทศไทย มีผู้หญิงเพียง 29% ของผู้จบการศึกษาทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ (computer science) และเพียง 1 ใน 4 ของผู้ประกอบอาชีพนักพัฒนาซอฟต์แวร์และช่างเทคนิคด้านเทคโนโลยี ความไม่สมดุลนี้ส่งผลให้ทั้งผู้หญิงและสังคมสูญเสียโอกาส ผู้หญิงพลาดโอกาสในการเข้าสู่อาชีพที่มีรายได้ดีและเป็นที่ต้องการ ในขณะที่สังคมก็พลาดโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากศักยภาพและมุมมองของผู้หญิงในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
การที่ผู้หญิงอยู่ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์น้อยกว่าผู้ชายเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือภาพเหมารวมเกี่ยวกับเพศ (gender stereotype) หรือความเชื่อที่บุคคลมีต่อเพศต่าง ๆ เช่น
เมื่อต้องตัดสินใจเลือกเรียน เลือกงาน หรือทำอะไรสักอย่าง เรามักจะถามตัวเองว่า “เราจะทำมันได้ไหม” และ “เราอยากทำมันหรือเปล่า” ถ้าคำตอบข้อใดข้อหนึ่งคือ “ไม่” โอกาสที่เราจะทำสิ่งนั้นก็จะน้อย เช่น หากนักเรียนคนหนึ่งอยากเรียนวิศวะ แต่คิดว่าไม่สามารถเรียนจบได้ เขาก็ไม่น่าจะเลือกเรียนวิศวะ หรือหากนักเรียนคนหนึ่งเรียนเก่ง แต่ไม่อยากเป็นหมอ เขาก็ไม่น่าจะเลือกเรียนแพทย์
ภาพเหมารวมที่ไม่เอื้อต่อผู้หญิงในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ส่งผลทั้งต่อความมั่นใจในความสามารถ (“ทำได้ไหม”) และความสนใจ (“อยากทำไหม”) ของผู้หญิง หากเราเชื่อว่าสมาชิกในกลุ่มของเรามีความสามารถน้อยกว่ากลุ่มอื่น เราก็อาจคิดว่าตนเองก็มีความสามารถน้อยกว่าด้วย เมื่อผู้หญิงได้รับสารบ่อย ๆ ว่า “ผู้หญิงเขียนโค้ดไม่เก่ง” ก็จะทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อต้องเขียนโปรแกรม และเชื่อว่าตนเองจะทำได้ไม่ดีในสาขานี้ ในทำนองเดียวกัน เมื่อได้ยินว่า “วิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นสาขาของผู้ชาย” ก็ทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าสาขานี้ไม่ใช่ที่ของตน และส่งผลให้ไม่สนใจสาขานี้
ภาพเหมารวมทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะหรือไม่สามารถประสบความสำเร็จในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ได้ เมื่อมีความคิดนี้ ผู้หญิงจึงไม่เลือกเรียนหรือทำงานด้านคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้ประเทศที่มีภาพเหมารวมเหล่านี้ เช่น ไทยและสหรัฐอเมริกา มีผู้หญิงในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์น้อยกว่าประเทศที่ไม่มีภาพเหมารวม เช่น มาเลเซีย
ภาพเหมารวมที่ไม่เอื้อต่อผู้หญิงเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่วัยเด็กและชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น การสำรวจในสหรัฐอเมริกา พบว่า นักเรียนชั้นประถมต้นทั้งหญิงและชายมองว่าผู้หญิงและผู้ชายมีความสนใจในการเขียนโปรแกรมไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อพวกเขาโตขึ้น ภาพเหมารวมที่ว่าผู้ชายเหมาะกว่าผู้หญิงเริ่มชัดเจนขึ้น เด็กประถมปลายและมัธยมมักจะเชื่อว่าผู้ชายสนใจและมีความสามารถในการเขียนโปรแกรมมากกว่าผู้หญิง
จากการทดลองที่ให้นักเรียนในสหรัฐอเมริกาวาดรูปนักวิทยาศาสตร์ พบว่า เด็กเล็กมักวาดรูปนักวิทยาศาสตร์ที่มีเพศเดียวกับตนเอง แต่เมื่อโตขึ้น ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายกลับวาดภาพนักวิทยาศาสตร์ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (computer scientist) เป็นผู้ชาย
ความไม่สมดุลทางเพศในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ไม่ได้เกิดจากความแตกต่างทางร่างกาย ชีววิทยา หรือความฉลาด แต่เป็นผลจากภาพเหมารวมที่สังคมสร้างขึ้นมาตั้งแต่วัยเด็ก ภาพเหมารวมทำให้ผู้หญิงขาดแรงจูงใจที่จะเข้าสู่สาขานี้ หรือหากเข้ามาแล้วก็อาจพบอุปสรรคจนยากจะอยู่ต่อ การสร้างภาพเหมารวมเชิงบวกและเท่าเทียมกันระหว่างเพศตั้งแต่วัยเด็ก อาจช่วยเพิ่มความสมดุลทางเพศในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในอนาคต
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. (2567, สิงหาคม). ตลาดงาน AI ร้อนแรง รับสมัครเกือบ 5 พันตำแหน่งใน 3 เดือน. https://tdri.or.th/2024/08/online-job-post-bigdata-q2-2024/
สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. (2567, กรกฎาคม). ผู้สำเร็จการศึกษา ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 ใน สถาบันอุดมศึกษาทั้งหมด จำแนกตาม สถาบัน / กลุ่มสถาบัน / เพศ / ระดับการศึกษา / คณะ / ชื่อสาขาวิชา / (ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2565 จำแนกตามจังหวัดที่ตั้งสถาบัน). กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. https://info.mhesi.go.th/stat_graduate.php?search_year=2566
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2567). สรุปผลที่สำคัญ ผู้ทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ.ศ. 2566. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม. https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2024/20240315100809_40423.pdf
Master, A., Meltzoff, A. N., & Cheryan, S. (2021). Gender stereotypes about interests start early and cause gender disparities in computer science and engineering. PNAS Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America, 118(48), Article e2100030118. https://doi.org/10.1073/pnas.2100030118
Miller, D. I., Nolla, K. M., Eagly, A. H., & Uttal, D. H. (2018). The development of children’s gender-science stereotypes: A meta-analysis of 5 decades of U.S. Draw-a-Scientist studies. Child Development, 89(6), 1943–1955. https://doi.org/10.1111/cdev.13039
Pantic, K., Clarke-Midura, J., Poole, F., Roller, J., & Allan, V. (2018). Drawing a computer scientist: stereotypical representations or lack of awareness? Computer Science Education, 28(3), 232–254. https://doi.org/10.1080/08993408.2018.1533780
บทความโดย
ดร.ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข
อาจารย์ประจำแขนงจิตวิทยาเชิงปริมาณ
วันที่ 16 สิงหาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร และคุณวนัสนันท์ กันทะวงศ์ บุคลากรคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 76 ปี แห่งการสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ โถง ชั้น 1 อาคารสำราญราษฎร์บริรักษ์ (ตึก 1) คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ



วันที่ 13 สิงหาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 21 ปี แห่งการสถาปนาศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ชั้น 12 อาคารวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

