ข่าวและกิจกรรม

Social exclusion – การถูกกีดกันทางสังคม

 

 

 

การถูกกีดกันทางสังคม หมายถึง การที่บุคคลไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น การถูกแยกออกไปจากกลุ่ม หรือถูกให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยที่บุคคลที่ถูกกีดกันทางสังคมนั้นอาจจะทราบหรือไม่ทราบสาเหตุก็ได้ ทั้งนี้ การมีสังคมหรือการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการใช้ชีวิต มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการเข้ากลุ่มเพื่อความอยู่รอด ในการได้มาซึ่งทรัพยากร การดำรงเผ่าพันธุ์ และการรักษาความปลอดภัยจากอันตรายภายนอก ดังนั้น การที่บุคคลไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่ม ถูกปฏิเสธ หรือถูกขับออกจากกลุ่ม จึงเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับบุคคล

 

กล่าวได้ว่า การกีดกันทางสังคมหรือการปฏิเสธจากกลุ่มจัดเป็นวิธีการลงโทษทางสังคมวิธีหนึ่ง โดยคนถูกกีดกันทางสังคมจะรับรู้ว่าโอกาสที่ตนจะใช้ชีวิตหรืออยู่รอดในสังคมลดน้อยลง ในบางวัฒนธรรม การกีดกันทางสังคมเปรียบได้กับเป็นความตายทางสังคม เพราะการไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มหรือสังคม ก็จะทำให้บุคคลไม่มีคุณค่าทางสังคม เสมือนว่าไม่มีตัวตนอยู่ในสังคมอีกต่อไป

 

 

การทำงานของระบบสมองเมื่อต้องตอบสนองต่อการถูกกีดกันทางสังคม


 

การที่บุคคลต้องเผชิญสถานการณ์ถูกกีดกันทางสังคม บุคคลจะแสดงออกถึงความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดทางกายหรือทางจิตใจ จากการทดลองด้วยเครื่อง fMRI พบว่า ระบบประสาทของคนที่ต้องเผชิญการถูกกีดกันทางสังคม ทำงานในบริเวณเดียวกันคนที่กำลังเผชิญความเจ็บปวดทางร่างกายอยู่ ระบบประสาทส่วนที่ทำงานเหมือนกัน คือเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้าที่เชื่อมระบบประสาทของสมองซีกซ้ายและซีกขวา

ผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจเมื่อถูกปฏิเสธจากกลุ่ม

 

การถูกกีดกันทางสังคมเป็นการคุกคาม หรือทำลายความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม (need for belonging) การเห็นคุณค่าแห่งตน การควบคุม การดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย และเป็นการเพิ่มความเศร้าและความโกรธ เมื่อบุคคลถูกปฏิเสธจากกลุ่มหรือถูกกีดกันทางสังคม ให้ผลได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ

 

ผลเชิงบวกบุคคลจะสนใจสิ่งชี้แนะทางสังคมมากขึ้น เพื่อปรับปรุงหรือพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น

 

ผลเชิงลบบุคคลอาจเกิดปฏิกิริยาทางจิต (reactance) ในการรู้สึกว่าถูกคุกคามด้านการควบคุม ส่งผลให้บุคคลพยายามที่จะนำความสามารถในการควบคุมหรือความเป็นอิสระกลับมา ด้วยการแสดงออกที่ก้าวร้าว ทั้งก้าวร้าวโดยตรงต่อผู้ที่ปฏิเสธหรือกีดกันตน และก้าวร้าวแทนที่ต่อผู้ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ อีกทั้งยังมีการประเมินผู้อื่นในทางลบ และให้ความร่วมมือน้อยกว่าอีกด้วย

 

ยิ่งไปกว่านั้น มีงานวิจัยพบว่า หากบุคคลถูกกีดกันหรือถูกปฏิเสธจากกลุ่มเป็นประจำหรือในระยะเวลานาน บุคคลจะเกิดความสิ้นหวังจากการเรียนรู้ หรือ learned helplessness อีกด้วย (การประพฤติตนอย่างสิ้นหวัง แม้มีโอกาสหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาหรือเป็นอันตรายได้ก็ตาม)

 

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

“อิทธิพลของการถูกกีดกันทางสังคม และความอ่อนไหวต่อการถูกปฏิเสธต่อพฤติกรรมก้าวร้าวโดยตรง และพฤติกรรมก้าวร้าวแทนที่” โดย สุชาดา ชูสาเหาะ (2553) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/21027

ภาพจาก http://www.shutterstock.com/

ทำไมคนเราถึงประมาท?

ท่านเคยทำอะไรลงไปทั้งที่รู้ว่ามันเสี่ยง รู้ว่ามันอันตรายบ้างหรือไม่

 

– ไปทะเลหน้ามรสุม
– ไปน้ำตกช่วงน้ำหลาก
– ใช้มือถือขณะขับรถ
– ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
– ไม่สวมหมวกกันน็อก
– เดินข้ามถนนไม่ตรงทางม้าลาย
– ออกไปอยู่ที่โล่งขณะฝนตก
– มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
– เล่นพนัน
– ซื้อหวย
– บริโภคน้ำตาลและไขมันเกินความต้องการของร่างกาย

 

ถ้าท่านเคย ท่านก็อาจเป็นคนหนึ่งที่มีความประมาท

 

 

จากเหตุการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ หลายคนก็เกิดคำถามว่า ทำไมคนเราถึงประมาท ทำไมเราจึงทำทั้งที่น่าจะรู้ว่ามันอันตราย มันมีความเสี่ยง…?

 

โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นเรามีความคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ (ในทางจิตวิทยาเรียกว่า มี bias) ในกรณีนี้คือการคิดเข้าข้างตัวเองว่า “เรื่องร้าย ๆ จะไม่เกิดขึ้นกับเรา” ไม่มีใครคิดว่าวันนี้ออกจากบ้านไป (หรือแม้แต่อยู่ในบ้าน) เราจะตาย จะเกิดอุบัติเหตุกับเรา จะมีมาทำร้ายเรา มีโรคร้ายค่อย ๆ ก่อตัวสะสมในตัวเรา

 

เราคิดแต่ว่าวันนี้เราจะได้รับอะไร เราไม่ค่อยคิดว่าเราจะสูญเสียอะไร

 

เพราะเรื่องร้าย ๆ ทำให้เราหดหู่ เรื่องน่ากลัวทำให้เราเครียด เราจึงปัดสิ่งเหล่านั้นออกไป มองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่มันเกิดขึ้นรอบตัวเราตลอดเวลา และหากมนุษย์ไม่คิดเข้าข้างตัวเองเสียบ้าง หากมนุษย์ใช้เวลาอยู่กับอารมณ์เครียดและหดหู่ เราอาจนั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร

เราจะไม่ประดิษฐ์เครื่องบิน เราจะไม่ขับรถ เราจะไม่ลงทุน บรรพบุรุษของเราจะไม่จุดไฟ ไม่ไปล่าสัตว์ ไม่โยกย้ายถิ่น และจะไม่จีบสาว

หากเราไม่คาดหวังว่าจะเกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นกับเรา หรือเราเอาแต่คิดว่าจะเกิดเรื่องแย่ ๆ กับเรา การมีชีวิตก็คงมีความหมายที่แตกต่างไปจากเดิม

 

นอกจากนี้ การกระทำและการตัดสินใจเลือกของเรานั้นขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และเหตุผล การใช้เหตุผลเปลืองพลังงานและเวลากว่าการใช้อารมณ์มาก อีกทั้งส่วนใหญ่ยังขัดกับความสะดวกสบาย ความต้องการที่จะได้มาซึ่งสิ่งของหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เราวาดฝัน

เมื่อเหตุผลและอารมณ์ขัดแย้งกัน หลายครั้งอารมณ์ก็เป็นฝ่ายชนะ ด้วยว่าถ้าพูดกับตามหลักวิวัฒนาการแล้ว สมองส่วนอารมณ์เราได้รับการส่งทอดจากบรรพบุรุษมาตั้งแต่สมัยสัตว์เลื้อยคลาน ขณะที่สมองส่วนเหตุผลเพิ่งถูกสร้างมาในสมัยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น ของที่มาก่อนย่อมแข็งแกร่งกว่า อัพเกรดมามากกว่า ด้วยการประมวลผลอย่างรวดเร็วจนบ่อยครั้งเรา “คิด” ตามไม่ทัน เราจึงทำอะไรลงไปก่อนที่เราจะใคร่ครวญให้ดี

 

 

อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างบางประการอยู่ระหว่าง การใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง กับ ความประมาท

 

การมีความหวังหรือการมองโลกในแง่ดีนั้น คือ การมองไปที่ความสำเร็จ หรือทางออกของปัญหา โดยเราจะมีแรงจูงใจที่จะพยายามไปให้ถึงเป้าหมายนั้น และเพื่อความสำเร็จ เราจะตัดตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ออกไปหรือจำกัดให้มันเหลือน้อยที่สุด และให้ความสำคัญกับส่วนที่เราควบคุมได้ให้มากขึ้น เช่น เราไม่อาจควบคุมการใช้รถใช้ถนนของคนอื่นได้ แต่เราสามารถควบคุมการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายของเราได้

 

ความประมาท คือ การที่เราไม่ตระหนักในอำนาจควบคุมของสิ่งอื่นนอกตัวเรา หรือเราไม่ตระหนักว่าอำนาจควบคุมนั้นแท้จริงอยู่ในมือของผู้อื่น เช่น การที่นักท่องเที่ยวตระหนักในอำนาจของธรรมชาติน้อยเกินไป และนักพนันไม่ตระหนักว่าอำนาจคุมเกมที่แท้จริงอยู่ที่เจ้ามือ นอกจากนี้ เรายังไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราควบคุมได้มากพอ เช่น การหาความรู้ในการลงทุน หนทางป้องกันที่เราสามารถทำได้เพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงหาแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้้น

 

การที่เราจะลดความประมาทได้นั้น เราต้องฝึกฝนให้เราสามารถใช้เหตุผลได้อย่างรวดเร็ว ประเมินสถานการณ์ด้วยข้อมูลทั้งหมดตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงเปิดรับข้อมูลที่เราไม่อยากจะรับ (ใช้เวลากับความหดหู่ ความเครียดบ้าง) เพื่อลด bias “เรื่องร้าย ๆ จะไม่เกิดขึ้นกับฉัน” ออกไปให้มากที่สุด

 

อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ “ปัจจัยทางสังคม” หากเป็นสังคมมีคติ “Safety First” คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ความคิดและพฤติกรรมประมาทของบุคคลก็มีแนวโน้มลดลง ตรงกันข้าม หากเป็นสังคมที่ความปลอดภัยเป็นรองความสะดวกสบาย ความต้องการส่วนตนแล้ว บรรทัดฐานและค่านิยมดังกล่าวก็ส่งผลให้บุคคลมีความคิดเข้าข้างตัวเองและมีพฤติกรรมประมาทมากขึ้น

 

แน่นอนว่าเรื่องร้าย ๆ อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เช่นที่เกิดขึ้นกับทุกคน ความล้มเหลว ความสูญเสีย แก่ เจ็บ และตาย พร้อมมาหาเราอย่างไม่เลือกเวลา เรายังสามารถคิดเข้าข้างตัวเองต่อไปได้ตามวิถีของปุถุชน เพียงแต่เราต้องคิดควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อม ฝึกฝนการใช้เหตุผล รวมถึงฝึกฝนวิธีทำใจ (กรณีที่เราไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องสุดวิสัยได้)

 

และอย่าลืมเตือนตัวเองว่า เมื่อไรที่เราคิดว่าเราไม่ได้ประมาท แสดงว่าเรากำลังประมาทอยู่นั่นเอง

 

 


 

 

บทความวิชาการ

 

โดย คุณรวิตา ระย้านิล

นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์

 

โลกมนุษย์นี้เต็มไปด้วยความหลากหลายทั้งรูปพรรณสัณฐาน เผ่าพันธุ์ ความเชื่อ ความคิด ค่านิยม และอีกมากมาย ในมุมมองของจิตวิทยามีหลักการสำคัญประการหนึ่ง คือ คนทุกคนมีความแตกต่างกัน (individual differences) จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนจะมีความแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง ในทุกหนแห่งในทุกสังคม เมื่อมีความแตกต่าง ความขัดแย้งก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะสาเหตุของความขัดแย้งมาจากความแตกต่างในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่านิยม ความคิดเห็น การรับรู้ วิธีคิดและวิธีแก้ปัญหา หรืออาจจะมาจากเป้าหมาย ความต้องการขัดแย้งกัน บทบาทและอำนาจหน้าที่ขัดกัน เป็นต้น

 

หากเราพิจารณาความขัดแย้งจากเรื่องเล็กระดับบุคคล ไปถึงเรื่องใหญ่ระดับสังคมโลก เราจะเข้าใจสาเหตุที่มาของความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งเป็นเสมือนมีดคมที่มีสองด้าน ด้านที่ทำให้เกิดผลดีและผลเสีย

 

สำหรับข้อดีของความขัดแย้ง กล่าวคือ ความขัดแย้งกระตุ้นให้คนแสวงหาวิธีการที่ดีขึ้นในการทำงานและการดำเนินชีวิต เมื่อมีความขัดแย้งปรากฏขึ้น ก็เป็นการเปิดเผยปัญหาที่ซ่อนเร้น และเมื่อสามารถจัดการกับความขัดแย้งไปได้ คนในหน่วยงานนั้น ๆ หรือสังคมนั้น ๆ จะเกิดความเข้าใจกันยิ่งขึ้น

 

ในส่วนข้อเสียของความขัดแย้งก็คือ ทำให้ความร่วมมือและการทำงานเป็นทีมลดลง ความสัมพันธ์ของคนมีความห่างเหิน ไม่ไว้วางใจกัน ผู้ที่รู้สึกว่าตนพ่ายแพ้ จะรู้สึกไร้ค่า หมดกำลังใจ สูญเสียแรงจูงใจ นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งอาจจะเกิดปัญหาทางอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ขุ่นเคืองใจ โกรธ แค้น หวาดกลัว คับข้องใจ คับแค้นใจ อึดอัด วิตกกังวล เครียด เป็นต้น

 

นอกเหนือจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคล เรายังมีความขัดแย้งในตนเอง ซึ่งเป็นภาวะที่คนคนหนึ่งรู้สึกลำบากใจ ไม่สบายใจในการตัดสินใจเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง

 

 

ความขัดแย้งในตนเอง มี 3 รูปแบบ


 

ดังนี้

 

รูปแบบที่ 1 คือ การรักพี่เสียดายน้อง

เป็นความรู้สึกต้องการสองอย่างจนยากแก่การเลือกหรือตัดสินใจ เช่น ในช่วงวันพุธบ่ายมีเวลาที่จะลงเรียนวิชาเลือกได้ และนิสิตพบว่ามีสองรายวิชาที่อยากเรียนมาก ซึ่งในความเป็นจริงต้องเลือกเพียงรายวิชาเดียว เป็นต้น

 

รูปแบบที่ 2 คือ การหนีเสือปะจระเข้

เมื่อบุคคลไม่ชอบทั้งสองอย่าง แต่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กำลังจองตั๋วเดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์ ตั้งใจว่าจะเดินทางโดยเครื่องบิน แต่พบว่าตั๋วเครื่องบินถูกจองหมด มีทางเลือกเพียงการเดินทางโดยรถประจำทางซึ่งใช้เวลามากและทำให้เหนื่อย กับมีทางเลือกที่จะต้องเลื่อนการเดินทางออกไปอีกหนึ่งวัน ซึ่งจะทำให้ถึงบ้านช้าไป และมีเวลาอยู่กับญาติพี่น้องที่บ้านน้อยลง ทั้งสองทางเลือกนั้นบุคคลไม่ชอบทั้งสองทางหากแต่จำเป็นต้องเลือก เป็นต้น

 

รูปแบบที่ 3 คือ การเกลียดตัวกินไข่

เป็นสถานการณ์เดียวกันที่มีทั้งสิ่งที่บุคคลชอบและไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์นั้น เช่น มีข้อเสนอการทำงานที่ให้ค่าตอบแทนดี เป็นที่ถูกใจ แต่ว่าบุคคลต้องไปทำงานในสถานที่ไกลมากและไม่มีความสะดวกในการดำเนินชีวิต ทำให้เกิดความลังเลในการเลือก เป็นต้น

 

 

การจัดการความขัดแย้งในตนเอง


การจัดการความขัดแย้งในใจตนสามารถทำได้โดย เริ่มจากการทำความเข้าใจว่า ทุกอย่างที่เรารับรู้ มักมาจากค่านิยม หรือประสบการณ์เฉพาะตนของผู้รับรู้ทั้งนั้น เราจะต้องรู้จักและเข้าใจตนอย่างชัดเจนถ่องแท้ ถึงความต้องการ ค่านิยม และจุดยืนของตนเอง การหมั่นสำรวจค่านิยมของตนเองเสมอ จะช่วยให้รู้จักค่านิยมที่แท้จริงของตน เมื่อรู้ค่านิยมของตนชัดเจน เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนต้องเลือก ย่อมไม่อยู่ในสภาพว้าวุ่นใจ คับข้องใจนานนัก ไม่ต้องขัดแย้งในตนเองเหมือนกับการทะเลาะกับตนเอง เราจะสามารถตัดสินปัญหาประจำวันได้รวดเร็ว ชัดเจน และถูกต้อง

 

ตัวอย่างเช่น เรารู้จักตนเองว่ามีค่านิยมความเรียบง่าย ประหยัด เราเป็นคนใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ เมื่อมีผู้เสนอชักชวนให้ไปเดินชมกระเป๋าถือที่มีแบรนด์ดังจากต่างประเทศ ก็อาจจะคิดได้ไม่นานนักว่าจะไปหรือไม่ หรือหากจะหาซื้อของใช้ส่วนตัว ก็คงมุ่งจะซื้อของที่ราคาพอประมาณ ไม่มุ่งหาซื้อของแบรนด์เนม และมีความรู้สึกดี สบายใจ ภูมิใจในการเลือกและการตัดสินใจของตน ไม่มีความกังวลหรือมีปมด้อยเมื่อมีคนกล่าวดูถูกที่ไม่ใช้ของมีราคาสูง และก็สามารถจะชื่นชมผู้อื่นได้อย่างจริงใจโดยไม่รู้สึกว่าตนจะต้องทำตามอย่างผู้ที่ใช้ของมีราคาแพง เป็นต้น

 

 

การจัดการความขัดแย้งระหว่างบุคคลหรือกลุ่ม


เมื่อเราต้องเผชิญความขัดแย้งระหว่างบุคคลหรือกลุ่ม มีหลักคิดที่เป็นวิธีการพื้นฐานในการจัดการกับความขัดแย้งผ่านการพิจารณาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง 2 ประการ ดังนี้

 

  1. เป้าหมายอะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนั้น เป้าหมายนั้นมีความสำคัญสำหรับเรามากน้อยเพียงใด
  2. ความสัมพันธ์กับคู่ความขัดแย้ง มีความหมาย มีความสำคัญมากน้อยเพียงใดกับเรา

 

กล่าวคือ หากทั้งเป้าหมายและความสัมพันธ์ มีความสำคัญสำหรับเราไม่มากนัก คนเรามักจัดการกับความขัดแย้งในลักษณะหลีกเลี่ยง โดยหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมอภิปรายถึงความขัดแย้ง และมักจะมีความกังวลเล็กน้อยที่จะบรรลุความต้องการของตนและผู้อื่น

 

ทว่าหากเป้าหมายมีความสำคัญสำหรับเราไม่มาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคู่ขัดแย้งมีความสำคัญสำหรับเราค่อนข้างมาก เราจะมีความห่วงใยผู้อื่นสูง ห่วงใยตนเองต่ำ จึงมีแนวโน้มที่จะทำตามความต้องการของผู้อื่น นั่นคือการเก็บกด หรือกลบเกลื่อนได้

 

นอกจากนี้ หากพบว่าเป้าหมายมีความสำคัญกับเรามาก ส่วนความสัมพันธ์กับคู่ขัดแย้งมีความสำคัญกับเราไม่มากนัก เรามักยึดความต้องการของตนเหนือความต้องการของผู้อื่น และใช้วิธีการใช้อำนาจหรือการบังคับ

 

หากทั้งเป้าหมายและความสัมพันธ์มีความสำคัญสำหรับเราปานกลาง เราจะอยู่ตรงกลางระหว่างความสนใจความห่วงใยตนเอง กับความสนใจห่วงใยผู้อื่น และเราจะเลือกใช้วิธีการประนีประนอมหรือเจรจาต่อรอง

 

และสุดท้าย หากทั้งเป้าหมายและความสัมพันธ์มีความสำคัญสำหรับเรามากทั้งคู่ เรามักแก้ปัญหาโดยบรรลุความต้องการสูงสุดของสองฝ่าย โดยใช้วิธีการร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหา

 

โดยประเด็นสำคัญก็คือ การแก้ไขความขัดแย้ง หากมีฝ่ายใดรู้สึกว่าตนแพ้ อีกฝ่ายเป็นผู้ชนะ ก็ยังมีความรู้สึกไม่ดี ค้างอยู่ในใจ หรือถ้าหากการแก้ไขความขัดแย้งที่ไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์เลย เพราะคู่ขัดแย้งไม่ยอมลดราความต้องการของตน หรือมุ่งทำลายคู่ขัดแย้ง ผลก็จะเป็นความพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย การแก้ไขความขัดแย้งที่น่าปรารถนาที่สุดคือ Win-Win เนื่องจาก ทั้งสองฝ่ายต่างพอใจผล เป็นการแก้ปัญหาที่ร่วมมือร่วมใจกันแสวงหาวิธีที่จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายต่างบรรลุผลที่ตนต้องการ

 

 

การจัดการความขัดแย้งแบบ วิน-วิน หรือแบบที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย


 

สามารถเกิดขึ้นได้ในเงื่อนไขต่อไปนี้

 

  • ทุกคนมีโอกาสพูดความคิดของตน โดยไม่นำอารมณ์มาเกี่ยวข้อง
  • บอกความรู้สึก โดยระมัดระวังไม่กล่าวโทษกัน
  • นำข้อมูลทั้งหมดมาอธิบายแก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นที่ยอมรับโดยทุกฝ่ายเห็นพ้องกันในความขัดแย้งนั้น และแต่ละฝ่ายต่างเข้าใจความรู้สึกของกัน และคู่ขัดแย้งเห็นพ้องกันว่าสถานการณ์ควรเป็นอย่างไร
  • ตกลงร่วมกันถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมีเพื่อบรรลุเป้าหมาย อาจทำได้โดยการให้เขียนรายการการเปลี่ยนแปลงที่ตนเต็มใจ และพยายามเข้าใจว่าผู้อื่นจะทำอะไร
  • สร้างข้อตกลงต่าง ๆ การติดตามผล ระบุวันเดือนปีที่ชัดเจน เพื่อบรรลุกิจกรรมที่ต้องการ และที่สำคัญคือ ต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมกันหาข้อสรุปร่วม ที่คำนึงถึงความต้องการของตนเองและของผู้อื่น

 

คนเราทุกคนล้วนต้องการความสุข ความสงบ ความเป็นมิตร แต่เมื่อเผชิญกับความขัดแย้ง และตั้งรับไม่ทัน อาจจะทำให้จิตใจขุ่นมัว ฟุ้งซ่าน ยุ่งยากใจและเป็นทุกข์ หากเราจัดความคิดความเข้าใจให้มองเห็นความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ ก็จะมีความหวังว่าสังคมเราอยู่ร่วมกันได้แม้คิดไม่เหมือนกัน แม้คิดแตกต่างจนเกิดความขัดแย้ง เราก็สามารถหาทางออกที่เหมาะสม เพื่อก้าวไปข้างหน้าได้ โดยสิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ เมื่อเราหาทางจัดการกับความขัดแย้งนั้น ทุกฝ่ายต้องตระหนักว่าสังคมเป็นพื้นที่ของคนทุกคน มิใช่ของคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นในการแก้ไขจัดการความขัดแย้งใด ๆ จะต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้อื่นด้วย มิใช่คำนึงแต่ความต้องการของตนเพียงฝ่ายเดียว หากตระหนักเช่นนี้ได้ ก็ไม่น่าจะมีความกังวลเมื่อมีความขัดแย้ง เพราะทางออกย่อมมีเสมอเมื่อคนไม่คิดเห็นแก่ความต้องการของตนแต่ฝ่ายเดียว

 

นอกจากนี้ ในอนาคตข้างหน้า เราคงต้องมุ่งสร้างคนที่มีค่านิยมของความไม่เห็นแก่ตัว คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม คำนึงถึงสังคมมากกว่าตนเองให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อจะเป็นหลักประกันในอนาคตว่าเมื่อมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันแล้ว คนในสังคมส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่คิดถึงส่วนรวมมากกว่า และสามารถแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างสร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง

 

 


 

 

ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์. ดร.กรรณิการ์ นลราชสุวัจน์

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

เหตุการณ์เดียวกัน ทำไมเราจึงมีชุดความจริง (ชุดความจำ) ที่แตกต่างกัน

 

คาดว่าทุกคนคงเคยเล่นเกมส่งต่อข้อความกันมาบ้างนะคะ เกมที่ให้ผู้เล่นยืนหรือนั่งเรียงเป็นแถวตอน โจทย์ถูกมอบให้แก่คนหัวแถว จากนั้นก็ส่งข้อความต่อให้คนข้างหลังทีละคน ๆ จนถึงผู้เล่นคนสุดท้ายปลายแถว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักปรากฏผลว่า ข้อความของคนท้ายสุดต้องมีอันผิดเพี้ยนไปจากคนแรกสุด ผิดนิดหน่อยบ้าง เพี้ยนไปไกลสุดกู่บ้าง นาน ๆ ทีจึงจะมีปรากฏการณ์ที่คนสุดท้ายสามารถขานข้อความตรงกับโจทย์ได้โดย “บังเอิญ”

 

เหล่าผู้เล่นและผู้ชมก็จะขำขันให้ความความผิดเพี้ยนนี้ แต่ใต้ความสนุกสนานของเกมนี้บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราบ้าง

 

ในเกมส่งต่อข้อความ ผู้เล่นมีหน้าที่เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือรับสารและส่งสาร โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อเรากล่าวถึงความผิดพลาดในการเก็บจำและส่งต่อข้อมูล อุปสรรคที่เรานึกถึงมักจะเป็น ปริมาณของข้อมูลที่มีมากเกินไปจนเรารับไว้ไม่หมด หรือช่วงเวลาที่ได้รับจนถึงส่งต่อข้อมูลทิ้งระยะนานเกินไปจนเราจำไม่ได้ แต่กับเกมที่ปริมาณข้อมูลไม่ได้มาก เวลาที่ใช้จากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่งก็แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เหตุใดการตกหล่นหรือผิดเพี้ยนของข้อมูลจึงยังเกิดขึ้น

 

นั่นเพราะแท้ที่จริงแล้ว ความผิดพลาดเช่นนี้ของมนุษย์เกิดขึ้นโดยง่ายแสนง่ายและเกิดขึ้นแทบตลอดเวลา สิ่งนี้สามารถยืนยันได้ด้วยการทดลองทางจิตวิทยาหลายต่อหลายงาน ในที่นี้จะยกตัวอย่างการทดลองหนึ่งจากคาบเรียนวิชาจิตวิทยาทั่วไป ที่ให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบความสามารถในการจำของตัวเองและทำความเข้าใจกระบวนการประมวลผลข้อมูล การทดลองนี้เรียกว่า การทดลองความจำที่ผิดพลาด หรือ False Memory experiment

 

ในการทดลอง ผู้เรียนจะได้รับฟังคำศัพท์ครั้งละ 12 คำ เป็นคำศัพท์ที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวันทั่วไป คำละไม่กี่พยางค์ (เช่น พยาบาล เข็มฉีดยา ผ่าตัด รักษา) เมื่อฟังคำศัพท์เสร็จแล้ว ก็จะมีเวลา 1 นาที ในการเขียนคำศัพท์ที่เพิ่งได้ยินลงไปในกระดาษ ได้ยินอย่างไรให้เขียนอย่างนั้น ห้ามแปลงคำหรือย่อคำ เขียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อหมดเวลา 1 นาที ก็จะต้องรับฟังคำศัพท์อีก 12 คำ (เช่น เพลง ไพเราะ ทำนอง นักร้อง) และมีเวลาเขียนลงกระดาษอีก 1 นาที ทำเช่นนี้ทั้งสิ้น 6 ครั้ง จึงนับว่าเสร็จสิ้นการทดลอง

 

เกิดอะไรขึ้นกับผลการทดลองของผู้เรียนบ้าง

 

ผลการทดลอง ไม่มีผู้เรียนคนใดสามารถเขียนคำศัพท์ได้ครบทั้ง 72 คำ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมาย และสอดคล้องกับทฤษฎีเกี่ยวกับความจุของความจำปฏิบัติการ (Working memory) ที่ระบุว่าความจุของความจำปฏิบัติการมีน้อยมาก เพียง 7 ±2 หน่วย หรือราว 5-9 หน่วยเท่านั้น ในการทดลองนี้ ผู้เรียนที่สมาธิดีและมีขีดความสามารถในการจำสูง อาจเขียนคำศัพท์ได้ประมาณ 80% ของทั้งหมด (ครั้งละ 8-12 คำ) ส่วนผู้เรียนที่สมาธิไม่ค่อยดีและมีขีดความสามารถในการจำไม่สูงนัก เขียนคำศัพท์ได้ประมาณ 40-60% (ครั้งละ 5-7 คำ) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจไม่ได้อยู่ที่จำนวนหรือปริมาณในการเก็บจำข้อมูล แต่อยู่ที่ในบรรดาคำศัพท์ที่ผู้เรียนระลึกได้และเขียนลงไปนั้น มีคำศัพท์ที่เขียนได้ถูกต้องและมีคำศัพท์ที่ผิดแปลกปรากฏอยู่ด้วย โดยความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นทั้งกับคนที่เขียนคำศัพท์ได้มากและเขียนคำศัพท์ได้น้อย

 

คำศัพท์ผิดแปลกแบบไหนที่ปรากฏขึ้น

 

มีผู้เรียนจำนวนมาก (จากการทดลองในหลายๆ ภาคการศึกษา) เขียนคำว่า “นางพยาบาล” แทนคำว่า “พยาบาล” เขียนคำว่า “พระอาทิตย์” แทนคำว่า “ดวงอาทิตย์” และเขียนคำว่า “พื้นไม้” แทนคำ 2 คำคือ “พื้น” และ “ไม้”

 

จะเห็นได้ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ซึ่งในสถานการณ์ทั่วไปอาจไม่นับเป็นความผิดพลาดด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ทำให้ความเข้าใจเปลี่ยนไป ไม่ได้กระทบกับเนื้อหาของสารในภาพรวม แต่ในการทดลองที่มีกติกาชัดเจนให้ผู้เรียน ฟัง จำ และเขียนคำศัพท์ แบบคำไหนคำนั้น อีกทั้งการแบ่งข้อมูลเป็นครั้งย่อย ๆ ครั้งละ 12 คำ ก็ไม่ใช่ปริมาณและการทิ้งเวลาที่มากเกินไป ดังนั้นความผิดพลาดนี้จึงสามารถนับว่าเป็นความผิดพลาด และเป็นความผิดพลาดที่ต้องหาคำอธิบาย

 

ทั้งที่เสียงที่เข้าหูคือคำว่า “ดวงอาทิตย์” แต่ทำไมผู้เรียนหลายคนจึงเขียนว่า “พระอาทิตย์”

 

ปรากฏการณ์นี้ต้องมาวิเคราะห์ถึงกระบวนการประมวลผลข้อมูลของมนุษย์ นักจิตวิทยาได้เปรียบเทียบการทำงานของสมองมนุษย์กับระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า กระบวนการประมวลผลเริ่มต้นตั้งแต่การทำงานของอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 ของเรา ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับรสชาติ และการรับสัมผัสที่ผิวหนัง เมื่ออวัยวะรับสัมผัสทำงานแล้ว สมองของเราจะเข้ารหัส (encoding) ข้อมูลที่ได้จากประสาทสัมผัส มาเป็นข้อมูลที่เราจะบรรจุไว้ในระบบความจำ — การเข้ารหัสคือการแปลผลข้อมูลว่าสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัสของเรานั้นมีภาพ (visual) เสียง (acoustic) หรือ ความหมาย (semantic) ว่าอย่างไร โดยเราอาจอ้างอิงจากความรู้และประสบการณ์เดิมที่มี — จากนั้นสมองของเราก็จะเก็บรักษา (storing) ข้อมูลนั้นไว้ จนกว่าเราจะค้นคืน (retrieval) หรือดึงข้อมูลความจำออกมาใช้งาน

 

ความแตกต่างระหว่างระบบความจำของมนุษย์และการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ก็คือ สำหรับคอมพิวเตอร์ เรา input ข้อมูลไปอย่างไร ก็ output ออกมาอย่างนั้น ตราบใดที่ใส่คำค้นถูกต้อง แต่สำหรับมนุษย์ ในทุกกระบวนการตั้งแต่ input ถึง output นั้น ความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มีปัจจัยมากมายที่มีผลกระทบต่อความแม่นยำของความจำ ตั้งแต่ “ความใส่ใจ” ต่อสิ่งเร้าที่กระทบประสาทสัมผัส (เช่น เสียงครูเลคเชอร์กับเสียงชวนคุยของเพื่อนดังขึ้นพร้อมกัน เราใส่ใจฟังเสียงใดมากกว่ากัน) การเข้ารหัส เราเข้ารหัสด้วยวิธีใด ข้อมูลถูกเก็บรักษาไว้นานเพียงใด และตอนค้นคืน เราใช้ตัวชี้แนะใดในการดึงข้อมูลออกมา

 

กลับมาที่การทดลองข้างต้น ในการฟังคำศัพท์ครั้งละ 12 คำของผู้เรียน ผู้เรียนเข้ารหัสเสียงที่ได้ยินด้วยความตั้งใจ (อาจจะมีสมาธิหลุดได้บ้าง) แม้ว่าผู้เรียนรับสิ่งเร้าด้วยเสียง แต่เนื่องจากคำศัพท์ที่ได้ยินเป็นคำศัพท์ภาษาไทย เป็นคำคุ้นเคยที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ผู้เรียนจะเข้ารหัสด้วยการนึกภาพตามและทำความเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ยินไปโดยอัตโนมัติ เมื่อเป็นเช่นนี้ ในการค้นคืนข้อมูลเพื่อเขียนคำศัพท์ที่เพิ่งได้ยินนั้น มีโอกาสสูงที่ผู้เรียนจะใช้ตัวชี้แนะที่เป็นภาพหรือเป็นความหมายของคำ มากกว่าเสียงของคำคำนั้นที่ได้ยินจริง ๆ ด้วยเหตุนี้ คนใดที่คุ้นเคยกับการใช้คำว่า “พระอาทิตย์” มากกว่า “ดวงอาทิตย์” ก็อาจระลึกถึงคำที่ต่างกันเล็กน้อยแต่มีความหมายเดียวกันขึ้นมาแทน ยิ่งไปกว่านั้นการถูกกระตุ้นด้วยชุดคำอย่างเช่น “เตียง หมอน ผ้าห่ม” ก็สามารถทำให้ระลึกถึงคำที่ไม่มีอยู่ในการทดลอง เช่น “นอน” แล้วตอบลงไปในกระดาษได้

 

อ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านอาจจะคิดว่าความจำที่คลาดเคลื่อนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจเกิดขึ้นได้โดยง่ายก็จริง แต่จะมาอธิบายความความจำที่ผิดพลาดประเภทเปลี่ยนสาระของเรื่องราวไปเลยได้อย่างไรกัน

 

ท่านเคยเผชิญหรือพบเห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้บ้างหรือไม่

 

  • เดินออกมาจากร้านค้าสักพักแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่ารับเงินทอนมาแล้วหรือยัง หรือเมื่อสักครู่จ่ายด้วยแบงค์อะไรไป เงินทอนที่ได้มานั้น พอดี หรือเกิน หรือขาด
  • เพื่อนนำเงินที่ยืมไปมาคืนโดยที่เราไม่ได้ทวง เพราะเราคิดว่าเพื่อนคืนเงินจำนวนนี้มาแล้ว (หรือกลับกันคือเราไปทวง แต่เพื่อนบอกว่าได้คืนเงินมาให้เราตั้งนานแล้ว)
  • จำได้ว่าวางของไว้ที่เดิม แต่ของกลับหายไปไหนก็ไม่รู้ (โดยไม่มีใครหยิบไปแน่นอน เพราะเราใช้อยู่คนเดียว) มาพบของอีกทีก็พร้อมกับที่นึกขึ้นได้ว่าเราเองที่ถือติดมือมาแล้ววางมันไว้ตรงนี้

 

นี่คือตัวอย่างความจำที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จะเห็นได้ว่าถึงแม้ไม่ใช่ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ แต่ความจริงกับความจำก็มีสาระที่เปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่อง — ทอนแล้วหรือยังไม่ทอน คืนแล้วหรือยังไม่คืน วางไว้ตรงนี้หรือวางไว้ตรงไหน

 

นั่นเป็นเพราะคนเราไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยสติหรือให้ความใส่ใจกับทุกสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบ ทั้งยังเข้ารหัสข้อมูลด้วยวิธีการที่ประหยัดแรม (อิงข้อมูลใหม่กับความจำเดิม แทนที่จะบรรจุข้อมูลทีละหน่วยอย่างปราณีตและเป็นอิสระจากข้อมูลอื่น)

 

สิ่งใดที่เรามองว่าไม่สำคัญ เราก็ไม่ได้หยิบมาคิดทบทวนซ้ำ ๆ ไม่ได้ย้ายมันเข้ามาอยู่ในความจำระยะยาว (long-term memory) ดังนั้นเมื่อเราค้นคืนข้อมูลออกมาใช้ สิ่งที่เราได้มา ก็สามารถหล่น ๆ หาย ๆ หรือไปสลับสับมั่วกับเหตุการณ์อื่นที่คล้าย ๆ กันได้ เราสามารถสับสนระหว่างความจริงหนึ่งกับอีกความจริงหนึ่งได้ หรือกระทั่งสับสนระหว่างความจริงกับจินตนาการหรือเรื่องที่คิดไว้ (แต่ไม่ได้ทำ) ก็ได้

 

ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราพบว่าความจำของเราไม่ตรงกันกับความจำของคนอื่นที่เผชิญเหตุการณ์เดียวกันมา เราจึงไม่สามารถสรุปได้ทันทีว่าอีกฝ่ายโกหก และไม่อาจตัดสินได้ว่าความจำของคนไหนที่ถูกต้องแม่นยำและของคนไหนมั่ว เพราะคนที่มั่วอาจจะเป็นเราเอง หรืออาจจะมั่วกันทั้งหมดและความจริงเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยก็ได้

 

สิ่งที่อยากจะฝากไว้สำหรับบทความนี้ก็คือ คนเรานั้นมักเชื่อถือตัวเองที่สุด คิดเข้าข้างตัวเองเป็นธรรมชาติ เมื่อพบอะไรก็ตามที่ไม่ตรงกับความคิดความเชื่อหรือความจำของเรา เราก็มักจะปฏิเสธและโทษสิ่งรอบข้าง แต่หากเรารู้จัก เข้าใจ และยอมรับในข้อบกพร่องอันเป็นธรรมดาของคนทุกคนได้ เราจะถกเถียงยันถูกยันผิดกันน้อยลง แล้วเอาเวลาไปย้อนรอยหาความจริงกันแบบไม่โทษใครได้มากขึ้น

 

 


 

 

บทความวิชาการ

โดย คุณรวิตา ระย้านิล

นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สรุปประเด็นการเสวนาถอดบทเรียนทางจิตวิทยา เหตุกราดยิงฯ – ตอนที่ 4 การดูแลเด็กเล็กเมื่อประสบเหตุการณ์ความรุนแรง

สรุปสาระ คำถาม-คำตอบ
การเสวนาทางวิชาการ ถอดบทเรียนทางจิตวิทยา “เหตุกราดยิง : ที่มา ทางแก้ และป้องกัน”

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์


 

 

ผู้ร่วมการเสวนา

1. ดร.นัทธี จิตสว่าง นักอาชญาวิทยา อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์

2. รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต นักจิตวิทยาการปรับพฤติกรรม อดีตคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

3. ผศ. ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ นักจิตวิทยาสังคม รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

4. ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาฯ

 

ดำเนินรายการโดย

ผศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ – นักจิตวิทยาพัฒนาการ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

 

 

ตอนที่ 4 – การดูแลเด็กเล็กเมื่อประสบเหตุการณ์ความรุนแรง

 

 

 

 

กรณีที่มีเด็กในความดูแล เมื่อประสบเหตุจะควบคุมเด็กอย่างไร

 

เด็กนั้นเอาจริง ๆ แล้วเราไม่สามารถควบคุมเขาได้ เพราะเขามีวิธีคิดของเขาเอง แต่เราจะจัดการอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าเป็นเด็กวัยใด

 

เด็กทารก ถือได้ว่าไม่ค่อยเป็นกังวล เนื่องจาก ผู้ปกครองจะรู้วิธีการปลอบ รู้ใจกัน และสามารถตอบสนองความต้องการของเด็กได้ ก็คือ หากเด็กหิว ผู้เป็นแม่ก็สามารถให้นมได้ ทั้งจากเต้าและนมที่มีเตรียมมา อีกทั้ง หากเกิดความง่วง ก็สามารถกล่อมให้นอนให้เพียงพอได้ และหากไม่สบายตัวจากผ้าอ้อม ก็สามารถเปลี่ยนได้ทันที โดยสิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องอุ้มเด็กให้แนบตัว และอยู่ใกล้ตัวอีกด้วย

 

เด็กอายุ 1 ขวบถึง 2 ขวบกว่า นั้นมีการควบคุมได้ยาก เนื่องจากยังไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายกับเด็กวัยนี้ได้ อีกทั้งเด็กวัยนี้พร้อมจะส่งเสียงได้ตลอด โดยสิ่งที่สำคัญคือ ผู้ปกครองต้องหาสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ ยกตัวอย่างเช่น กอดเด็กไว้ เล่านิทาน หรือกล่อมให้หลับ เป็นต้น

 

เด็กอายุ 3 ถึง 4 ขวบ นั้นผู้ปกครองสามารถพูดคุยได้ หากแต่อย่าอธิบายด้วยภาษา หรือคำศัพท์ที่ยาก เพียงใช้คำสั้นๆ อธิบาย เช่น ข้างนอกมีคนไม่ดี และจะมีคนดีมาช่วยเรา เป็นต้น โดยที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงคำว่าผู้ร้าย เนื่องจาก เด็กวัยนี้จะมีการเล่นบทบาทสมมติ เช่น ตำรวจ-ผู้ร้าย ดังนั้น คำว่า “ผู้ร้าย” ของเด็กวัยนี้อาจจะเป็นเพียงการเล่นที่ไม่จริงจัง โดยผู้ปกครองอาจเปลี่ยนเป็นคำว่า คนไม่ดี หรือคนใจร้ายได้ อีกทั้งใช้วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การเล่นด้วยกัน หรือเล่านิทาน เป็นต้น

 

และสุดท้าย เด็กในวัยที่เข้าโรงเรียนแล้วนั้น จะสามารถเห็นข่าวจากสื่อต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง เด็กวัยนี้อาจเกิดความสงสัย หากพ่อแม่เล่าให้ฟัง และอธิบายให้ฟังอย่างเข้าใจง่าย เด็กวัยนี้จะมีความเข้าใจและมั่นใจมากขึ้น เห็นได้จากงานวิจัยพบว่า ผู้ปกครองที่อธิบายถึงเหตุการณ์และเล่าให้เด็กที่ได้รับข่าวสารและเกิดข้อสงสัยฟังเพียงสั้น ๆ และเข้าใจง่าย จะทำให้เด็กรู้สึกดี หายเศร้าและสงสัย มากกว่าเด็กที่ได้รับฟังข่าวสารและไม่มีใครอธิบายให้ฟัง

 

นอกจากนี้ เราพบว่าเด็กไทย มักจะเป็นตัวของตัวเองมากกับพ่อแม่ เขาอยากร้องก้ร้อง อยากกรี๊ดก็กรี๊ด ขณะที่จะเกรงใจหรือกำกับตัวเองได้มากกว่าเวลาอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะคุณครู ถ้าเราอยู่กับเด็กที่ไม่ใช่ลูกหลานของเราอยู่ใกล้ๆ เราก็ช่วยปลอบประโลมเขาได้ เข้าไปอุ้ม ไปกอด เมื่อเขาเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับเรา และใช้คำพูดง่ายๆ สื่อสารกับเขา

 

 

 

 

บทบาทของสถาบันครอบครัวต่อการป้องกันอาชญากรรม

 

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องการกับเกิดเหตุอาชญากรรมหรือการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าว ข้อหนึ่งคือการที่บุคคลเป็นผู้ที่ไม่ได้รับความสนใจ ไม่มีตัวตน ซึ่งการไม่ได้รับความสนใจนั้นเริ่มขึ้นจากในบ้าน เขาจึงไปหาที่นอกบ้าน เราอาจเคยพบเจอเด็กที่ยอมให้ตัวเองก่อปัญหาที่โรงเรียน ไม่สนใจเรียน แกล้งเพื่อน หรือแม้แต่ทำให้ตัวเองโดนจับขึ้นโรงพัก เพราะนั่นเป็นเวลาเดียวที่เด็กจะได้เจอพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา แสดงให้เห็นว่าเด็กต้องการได้รับความสนใจจากพ่อแม่เสมอ ไม่ได้ทางบวก ทางลบก็เอา เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกเข้ามาหาเรา เราต้องละวางอุปกรณ์สื่อสารและเรื่องอื่น ๆ และหันไปรับฟังเขา ไม่ใช่ให้ความสนใจเมื่อเฉพาะเวลาที่เขาร้องไห้ หกล้ม หรือถูกเรียกพบที่โรงเรียน

 

ทุกคนมีความกดดัน ความเครียด หากเพียงหาวิธี เรียนรู้ การรับมือในรูปแบบที่เหมาะสม โดยสามารถเริ่มเรียนรู้ได้จาก ครอบครัว หรือ Family Functioning ซึ่งผู้เป็นพ่อแม่ต้องหาวิธีเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีการควบคุมตนเองหรือ Self-control โดยมีการฝึกควบคุมอารมณ์ คุมตนเอง และสามารถที่จะรับมือกับวิธีแก้ปัญหาได้อีกด้วย

 

 

 

 

อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม มันเกิดจาก 3 อย่าง คือ ตัวเรา คนอื่น และสถานการณ์

 

การควบคุมคนอื่นและสถานการณ์นั้นทำได้ยาก การคุมตัวเอง แม้จะทำได้ยากก็ก็ยังทำได้ง่ายกว่าอีกสองอย่าง ดังนั้นเราต้องเริ่มจากการทบทวนและควบคุมตัวเอง จากนั้นก็ดูแลคนในครอบครัวของเรา ดูแลคนอื่น ๆ เพราะเราและคนที่เรารักก็ต้องอยู่ร่วมกันกับคนอื่น ๆ ในสังคม

 

 

สรุปประเด็นการเสวนาถอดบทเรียนทางจิตวิทยา เหตุกราดยิงฯ – ตอนที่ 3 แนวทางการเยียวยาจิตใจ

สรุปสาระ คำถาม-คำตอบ
การเสวนาทางวิชาการ ถอดบทเรียนทางจิตวิทยา “เหตุกราดยิง : ที่มา ทางแก้ และป้องกัน”

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์


 

ผู้ร่วมการเสวนา

1. ดร.นัทธี จิตสว่าง นักอาชญาวิทยา อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์

2. รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต นักจิตวิทยาการปรับพฤติกรรม อดีตคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

3. ผศ. ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ นักจิตวิทยาสังคม รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

4. ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาฯ

ดำเนินรายการโดย

ผศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ – นักจิตวิทยาพัฒนาการ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

 

 

ตอนที่ 3 – แนวทางการเยียวยาจิตใจ

 

 

 

การเยียวยาจิตใจผู้ที่ประสบเหตุหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทำได้อย่างไร

 

  1. การให้ข้อมูลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้วเราจะมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร เช่น ความกลัว ความรู้สึกผิด เพื่อที่เราจะตอบสนองต่อกันได้อย่างเหมาะสม เช่น ไม่ซ้ำเติมผู้ประสบเหตุด้วยการถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในเวลาที่เขาไม่พร้อม
    แนวทางการเยียวยาจิตใจตัวเอง ต้องเริ่มจากการตระหนักและยอมรับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นให้ได้ หาให้ได้ว่า ตอนที่เกิดเหตุแล้วเราไม่หลับไม่นอนหาข่าว ตามดูข่าวในทีวี ในออนไลน์ นั่นเป็นเพราะเรามีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร เรากลัว เราตระหนกใช่ไหม เราต้องตระหนักอย่าปล่อยให้มันฟุ้ง
  2. ขั้นต่อมาคือสื่อสาร ระบายออกมา เพื่อบรรเทาความรู้สึกให้จางลง เมื่อพร้อม กับคนที่เราไว้วางใจ มันจะช่วยให้เราตระหนักและเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้นจากการพูดคุยกับคนอื่น
  3. จากนั้นเปลี่ยนการมองว่าโลกนี้น่ากลัว สถานการณ์น่ากลัว ก็เปลี่ยนเป็นพลังในการออกมาทำอะไรที่ดี ๆ ที่เกิดประโยชน์ ให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราสามารถทำอะไรได้ บริหารจัดการชีวิต ควบคุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

 

 

 

 

การช่วยดูแลผู้ที่ยังรู้สึกแย่อยู่ ยังไม่สามารถดึงอารมณ์ตัวเองกลับมาได้ ทำได้อย่างไร

 

  1. การดูแลคนใกล้ชิดสามารถทำได้ด้วยการแสดงความเข้าใจ เพื่อสื่อว่ายังอยู่ข้าง ๆ และพร้อมที่จะรับฟัง เมื่อเขาพร้อมที่จะสื่อสาร
  2. ถอยความอยากรู้ของเรา และมองเขาอย่างที่เขากำลังรู้สึกและมองโลก

ผลกระทบทางจิตใจต่อเหตุการณ์ร้าย ๆ สามารถติดอยู่ในใจเราได้ยาวนาน 3-6 เดือน ถ้าใครผ่าน 6 เดือนไปแล้ว ยังคงรู้สึกกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ยังกลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย ก็อาจจะต้องรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

 

สำหรับเด็กที่ยังสื่อสารไม่ได้ดีนัก พ่อแม่ต้องคอยสังเกตว่าเขามีพฤติกรรมถดถอยหรือไม่ เช่น จากที่ไม่ฉี่รดที่นอนแล้ว กลับมาฉี่รดที่นอน ที่เคยรักดูแลน้องกลับมาแกล้งน้องกัดน้อง ถ้าพบว่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ควรพาไปพบจิตแพทย์เด็กหรือนักจิตวิทยาเด็ก

 

 

 

 

การที่มีคอมเมนต์ในลักษณะที่มองผู้ก่อเหตุว่าเป็นฮีโร่ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เราควรตอบสนองต่อบุคคลที่คอมเมนต์แบบนี้อย่างไร

 

เราไม่ควรตอบโต้ให้เชื้อไฟมันลุกลาม จากนั้นเราควรมาทบทวนว่าเรารู้สึกอย่างไรเมื่อเราเห็น ถ้าเรารู้สึกเป็นห่วง เราก็ควรสื่อสารความรู้สึกออกมา โดยไม่ใช้คำพูดต่อต้าน หรือไปตัดสินเขาว่าเขาคิดหรือพูดไม่เหมาะสม ทำไมคิดอะไรแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เพราะถ้าไปตัดสินเขาเช่นนั้นก็จะยิ่งผลักให้เขาเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว

 

ไม่ว่าเขาจะโพสต์ลงไปเพราะคิดเช่นนั้นจริง หรือโพสต์เพื่อเรียกร้องความสนใจ ถ้าต้องการเข้าไปพูดคุย อาจไม่ต้องพุ่งเป้าไปที่ประเด็นนั้น ที่อาจจะทำให้ทะเลาะกันไปก่อนเสียเปล่า ๆ แต่ให้ซักถามพูดคุยกันในเรื่องทั่ว ๆ ไป เพื่อที่จะรับฟังให้รู้ว่าเขาคิดอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นกับเขา เพื่อที่จะได้เข้าใจและรู้ว่าเราควรที่จะวางตัวกับเขาอย่างไร

 

เราอาจจะพิจารณาว่าเขาแสดงความคิดเห็นเช่นนั้นแล้วเป็นคนที่มีแนวโน้มจะก่อเหตุได้หรือไม่ คือมีโปรโฟล์ใกล้เคียงกับผู้ก่อเหตุหรือไม่ ถ้าเขามีแนวโน้มจะทำและทำได้ ก็อาจจะพาเขาไปรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

 

 

 

 

ความรู้สึกสงสารที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับรู้ถึงสาเหตุที่ผู้ก่อเหตุถูกกระทำ เราสามารถรู้สึกสงสารได้หรือไม่

 

เราสามารถรู้สึกสงสารต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ก่อเหตุได้ ความรู้สึกสงสารไม่ใช่เรื่องผิด เป็นเพียงความรู้สึกที่เรามีต่อมนุษยชาติด้วยกัน แต่เราต้องรู้ว่าเมื่อบุคคลเมื่อถูกกระทำแล้ว มีสิทธิ์ที่จะตอบโต้ แต่วิธีการตอบโต้ต้องอยู่ในความเหมาะสม ไม่เกินเลยไปสู่ความรุนแรง เราควรตอบโต้หรือปกป้องตัวเองอย่างมีสติ

 

อันที่จริงแล้ว เราไม่ควรจะสงสารใคร แต่เราควรเข้าใจและให้โอกาส

 

 

สรุปประเด็นการเสวนาถอดบทเรียนทางจิตวิทยา เหตุกราดยิงฯ – ตอนที่ 2 แนวทางการนำเสนอข่าวสารของสื่อและประชาชน

สรุปสาระ คำถาม-คำตอบ
การเสวนาทางวิชาการ ถอดบทเรียนทางจิตวิทยา “เหตุกราดยิง : ที่มา ทางแก้ และป้องกัน”

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์


 

ผู้ร่วมการเสวนา

1. ดร.นัทธี จิตสว่าง นักอาชญาวิทยา อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์

2. รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต นักจิตวิทยาการปรับพฤติกรรม อดีตคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

3. ผศ. ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ นักจิตวิทยาสังคม รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

4. ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาฯ

ดำเนินรายการโดย

ผศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ – นักจิตวิทยาพัฒนาการ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

 

 

ตอนที่ 2 – แนวทางการนำเสนอข่าวสารของสื่อและประชาชน

 

 

การนำเสนอข่าวของสื่อแบบไหนที่เรียกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมในสถานการณ์ความรุนแรง

 

เมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้ คนข่าวเองก็เหนื่อย เสี่ยงชีวิตตัวเอง ไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ปฏิบัติการด้วยซ้ำ ด้วยความตั้งใจอย่างหนักเพื่อความรวดเร็ว ถูกต้อง ได้เรื่องราว และได้จำนวนผู้ชม

 

แต่อิทธิพลของสื่อนั้นทรงอิทธิพลมาก การรายงานข่าวของสื่อนั้นส่งผลกระทบต่อสังคมมาก เพราะฉะนั้นเราควรจะมาหาตรงกลางว่าจุดเหมาะสมอยู่ตรงไหน

 

จากข้อมูลที่มีเกี่ยวกับการศึกษาทางจิตวิทยาเรื่องอิทธิพลของการนำเสนอข่าวของสื่อต่อเหตุการณ์กราดยิงในอเมริกาเป็นเวลากว่า 5-6 ปี พบว่า ลักษณะการรายงานข่าวรูปแบบหนึ่งสามารถทำนายการเกิดเหตุต่อไปได้ (จะมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันตามมาภายใน 2 สัปดาห์) โดยอธิบายเหตุผลว่า การเลียนแบบนั้น เกิดขึ้นกับคนที่มีโอกาสมีความพร้อมและได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจจากการเชื่อมโยงตนเองกับผู้ก่อเหตุกรณีก่อน นั่นแปลว่า

 

  1. การนำเสนอข่าวในลักษณะการเปิดเผยชื่อ ภาพ เครื่องแบบ อาวุธ เรื่องราวส่วนตัว ประวัติ และแรงจูงใจในการก่อเหตุ ทำให้คนที่มีแนวโน้มไขว้เขวอยู่แล้ว รับรู้ถึงความคล้ายคลึงของตนเองกับผู้ก่อเหตุ และยึดเป็นตัวเปรียบเทียบ นอกจากนี้ การมองเห็นถึงรางวัลที่จะได้รับ คือการได้มีตัวตน มีพื้นที่ข่าว แม้ในทางกฎหมายจะถูกลงโทษ แต่เมื่อสื่อนำเสนอข่าวเพื่อจะให้ข้อมูลกับผู้คนว่าเกิดอะไรขึ้น ตอบสนองความอยากรู้ ความเป็นห่วงของผู้คน ก็ทำให้ผู้ก่อเหตุรู้สึกได้มีตัวตน
  2. ยิ่งการใช้คำบรรยายพฤติกรรมผู้ร้ายในบางลักษณะก็ยิ่งกลายเป็นดูเท่ ดูน่ายกย่อง เช่นคำว่า “อุกอาจ” อาจจะดูเท่ ดูเจ๋ง สำหรับบางคนที่นิยมความรุนแรง ทั้งนี้ควรใช้คำที่เป็นทางลบ ให้รู้สึกว่าไม่น่าทำตาม เช่น พฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย พฤติกรรมที่ขาดเมตตา
  3. นอกจากนี้ การนำเสนอตัวเลข เช่น ยอดผู้เสียชีวิต และเปรียบเทียบว่าครั้งนี้ คนเสียชีวิตมากกว่าครั้งก่อน น้อยกว่าครั้งก่อน มันให้นัยยะของความเก่ง ความเจ๋ง ก็จะกระตุ้นให้คนรู้สึกอยากทำลายยอด

 

สรุปได้ว่า การนำเสนอของสื่อที่กระตุ้นแรงจูงใจ ให้รู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเอง มองเห็นถึงการได้รางวัล จะไปเพิ่มแนวโน้มการตัดสินใจของคนที่มีความพร้อม มีโอกาส ก่อเหตุขึ้นได้

 

 

 

 

ดังนั้นการนำเสนอข่าวลักษณะนี้ก็คงต้องมาช่วยกันคิดต่อว่าจะมีทางออกร่วมกันอย่างไร

 

โดยมีไกด์ไลน์คร่าวๆ จากบทความต่างๆ ว่า

  1. ไม่เอ่ยชื่อ ไม่ให้ตัวตนคนร้าย
  2. นำเสนอเรื่องราวของเหยื่อแทน สร้างตัวแบบทางบวก ว่าคนเหล่านี้ผ่านเรื่องราวเลวร้ายร่วมกันมาได้อย่างไร เล่าเรื่องราวของผู้ที่แจ้งเหตุก่อน ผู้ที่ตัดสินใจเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งพบผลว่าผู้ชมเองก็ชอบรับข่าวแบบนี้เช่นกัน

 

 

 

การแชร์ข่าวในโซเชี่ยลเราสามารถทำได้อย่างไรจึงเหมาะสม

 

ทุกวันนี้อุปกรณ์เทคโนโลยีที่เรามีทำให้เราทุกคนสามารถเป็นสื่อได้ ดังนั้นไกด์ไลน์สำหรับการเป็นสื่อหรือผู้ส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ก็ทำได้ในลักษณะเดียวกันกับของสื่อหลัก คือ

  1. อย่าทำให้ผู้ก่อเหตุดูเป็นคนพิเศษ มีตัวตน มีพื้นที่ กลายเป็นที่ดูเท่ ถือปืน ใส่ชุดยูนิฟอร์ม ดูน่ายกย่อง
  2. ให้เราอัปเดตเหตุการณ์ตามจริง ตรงไปตรงมา ไม่เร้าอารมณ์ หรือที่เรียกว่าไม่ดึงดราม่า ไม่ให้ค่ากับผู้ก่อเหตุ และ
  3. เราควรเน้นเรื่องการป้องกันและการเยียวยา

และพวกเราเองเป็นผู้บริโภค เรามีฟีดแบค มีการตักเตือนกันอย่างตรงไปตรงมา ได้อย่างรวดเร็ว เราเลือกได้ว่าจะรับข่าวสารจากสื่อใด แชร์สิ่งใด

 

สรุปประเด็นการเสวนาถอดบทเรียนทางจิตวิทยา เหตุกราดยิงฯ – ตอนที่ 1 สาเหตุการเกิดอาชญากรรมและการป้องกัน

สรุปสาระ คำถาม-คำตอบ
การเสวนาทางวิชาการ ถอดบทเรียนทางจิตวิทยา “เหตุกราดยิง : ที่มา ทางแก้ และป้องกัน”

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์


 

ผู้ร่วมการเสวนา

1. ดร.นัทธี จิตสว่าง นักอาชญาวิทยา อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์

2. รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต นักจิตวิทยาการปรับพฤติกรรม อดีตคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

3. ผศ. ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ นักจิตวิทยาสังคม รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

4. ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาฯ

ดำเนินรายการโดย

ผศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ – นักจิตวิทยาพัฒนาการ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ

 

 

ตอนที่ 1 – สาเหตุการเกิดอาชญากรรมและการป้องกัน

 

 

พฤติกรรมความรุนแรงเกิดขึ้นกับคนปกติได้

 

ทุกคนมีโอกาสที่จะกระทำความรุนแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่ว่าคนที่ทำจะต้องเป็นคนที่มีความผิดปกติถึงจะกระทำ คนผิดปกติบางคนเขาก็ไม่ก้าวร้าว

 

คนปกติอย่างพวกเราพอถึงเวลาที่พอเหมาะ มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น มี trigger (ตัวกระตุ้น) ก็สามารถเกิดพฤติกรรมความรุนแรงหรือความก้าวร้าวได้ เพราะความก้าวร้าวเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เป็นพฤติกรรมเพื่อการอยู่รอด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรตระหนักคือการควบคุมไม่ให้มันแสดงออกนั้นสำคัญกว่า

 

 

 

คนแบบที่มีโอกาสแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและเป็นอันตรายต่อผู้อื่น

เราจะสังเกตได้ว่าในอดีตเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น ความก้าวร้าวไม่ค่อยแสดงออกลักษณะนี้

 

เท่าที่ศึกษาลักษณะของสังคม ตอนนี้เกิดปัญหาคล้ายกันทั่วโลกคือเด็กเราอยู่ในสังคมที่เรียกว่าไฮเทคโนโลยี เราถูกสร้างลักษณะบางอย่างขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ตั้งใจ แต่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นั่นคือความหุนหันพลันแล่น (impulsiveness) เนื่องจากเราทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว มีอะไรเราก็กดโทรศัพท์ เราไม่รอ เราไม่ได้สอนเด็กให้ควบคุมตัวเอง มีวินัย ยอมรับกฎระเบียบของสังคม จริง ๆ ไม่ใช่แค่เด็ก ผู้ใหญ่เอง เมื่อก่อนยังคิดช้าๆ รอ แต่เดี๋ยวนี้ก็มีอะไรกดโทรศัพท์แล้ว

 

ประเด็นที่สองตามมา ตามหลักจิตวิทยาคนที่มีแนวโน้มแสดงความก้าวร้าวสูง ข้อแรก คือคนที่มองโลกในแง่ร้าย เราพบว่าคนที่มองโลกในแง่ร้ายมักจะมีความรู้สึกว่าทำไมตนเองต้องถูกกระทำ ทำไมต้องมาทำกับฉันแบบนี้ แล้วจะแสดงพฤติกรรมต่อต้าน (นักจิตวิทยาสังคมก็สนใจเรื่องนี้และพยายามเปลี่ยนความคิดของคนให้มองโลกในแง่บวกมากขึ้น คือไม่ใช่ว่าไม่ให้มองลบเลย ก็ไม่ดี เพียงแต่ให้พยายามมองในแง่บวกเป็นหลัก)

 

ต่อมาคือ การที่เรามองปัญหาไปทางคนอื่น เราไม่ค่อยมองสาเหตุที่ตัวเรา เวลาเราทำอะไรเราไม่มอง แต่เวลาที่คนอื่นทำ เราจะรู้สึกว่าทำไมคนอื่นทำแบบนี้ ทำไมสังคมเป็นแบบนี้ และจะมีแนวคิดว่า เธอทำฉัน ฉันก็ทำเธอ หรือเพื่อปกป้องกันฉันก็ทำเธอก่อน

 

อีกข้อคือการที่ชอบดูอะไรที่โหดร้าย ก็จะมีแนวโน้มที่จะแสดงออกทางก้าวร้าว แต่ก็อาจจะมีผลตรงข้ามก็ได้ คือพอดูอะไรแบบนี้แล้วก็เหมือนเป็นการได้ระบาย

 

 

 

ปัจจัยที่ทำให้คนก่อเหตุอาชญากรรมคือ มูลเหตุจูงใจ + โอกาส

มูลเหตุจูงใจ คือ การตัดสินใจของคน พฤติกรรมของคน
ส่วนโอกาส คือ ช่วงจังหวะเวลา สถานที่ ที่ทำให้ประกอบอาชญากรรมได้ เช่น การเข้าถึงอาวุธปืน การเข้าถึงสถานที่

 

 

 

ผู้กระทำความผิดมีลักษณะส่วนบุคคลเช่นไร

ในการศึกษาของต่างประเทศเกี่ยวกับเหตุการณ์กราดยิงมาเป็นเวลากว่า 20 ปี พบว่า มีลักษณะของผู้ที่กระทำความผิดอยู่ 4-5 ประการ ได้แก่

เป็นคนที่เก็บตัว โดดเดี่ยว ไม่สุงสิงกับใคร เก็บกด ในอเมริกามีเหตุการณ์กราดยิงมากว่า 200 กว่าครั้งในสิบปี (ปีละยี่สิบกว่าครั้ง) มีผู้เสียชีวิตกว่าพันคน

ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุจะมีลักษณะเช่นนี้ คือ

  1. ถูก discriminate จากเพื่อน มีปัญหาด้านปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่มีที่ปรึกษา แนะนำทางออกให้ จึงแก้ปัญหาด้วยตัวเอง อย่างเช่นกรณีที่โคราชนี้ มีทหารคนอื่นที่โดนโกงเหมือนกัน ถูกกระทำแบบเดียวกัน และมีแนวคิดจะก่อเหตุเหมือนกัน แต่ได้ไปปรึกษาแม่ เมื่อมีคนปรึกษาจึงไม่ได้กระทำ
  2. เป็นคนที่ถูกกระทำมาในวัยเด็ก เช่น คนที่มีปัญหาครอบครัวแตกแยก ถูกกระทำจากพ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง ถูกกระทำจากในโรงเรียนหรือที่ทำงาน ทำให้เกิดความรู้สึกโกรธเกลียด เช่นในอเมริกา เคยมีเหตุเด็กอายุ 16 ไปกราดยิงเพื่อนในโรงเรียน และได้ให้เหตุผลว่าเขาเกลียดโรงเรียน เกลียดวันจันทร์เท่านั้น เพราะเคยถูกปฏิเสธ และรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม รู้สึกกดดัน
  3. เป็นผู้ที่นิยมหรือคลุกคลี เรียนรู้เกี่ยวกับความรุนแรงมาโดยตลอด เช่น เคยมีผู้ก่อเหตุกราดยิงที่มีพฤติกรรมชอบฆ่าสัตว์ ยิงม้า ยิงสุนัข ชื่นชอบสะสมปืน บางรายมีการเขียนเรียงความที่แสดงถึงความคับแค้นและการฆาตกรรม
  4. มีการเรียนรู้ศึกษาจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา (อย่างจริงจัง) มีการจดบันทึก และวางแผนไว้

 

 

ปัจจัยด้านโอกาส

มูลเหตุจูงใจเหล่านี้ เมื่อรวมกับโอกาสในการกระทำความผิด อย่างในอเมริกาที่อาวุธปืนหาง่าย โดยเฉพาะที่มีอานุภาพร้ายแรง เหตุกราดยิงก็เกิดขึ้นได้มากกว่า

 

อย่างในประเทศไทยแม้เพิ่งเคยเกิดเหตุกราดยิง แต่กรณีที่มีการตายจากอาวุธปืนนับว่ามีมาก เป็นลำดับต้น ๆ ของโลก เพราะในประเทศไทย เพียงแค่ขับรถปาดหน้ากัน ตบไฟสูงใส่กัน สามีภรรยาขัดแย้งกัน ก็ยิงกันได้ อาวุธปืนมีในครอบครองกันเยอะ คนหนึ่งมีได้ 4-5 กระบอก พ่อแม่มีเก็บไว้ ลูกหยิบไปเล่นที่โรงเรียน แม้แต่ลิงก็เคยมีเหตุลิงหยิบปืนไปเล็งทำท่าจะยิง

 

ในบางประเทศที่อาวุธปืนหายากอย่างในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน แม้ไม่มีเหตุกราดยิง Mass Shooting ก็จะเป็นลักษณะการใช้อาวุธอื่น Mass killer เช่น เอามีดมาไล่แทงคนในรถไฟ หรือในญี่ปุ่นเคยมีการใช้ยาพิษก่อเหตุในสถานีรถไฟใต้ดิน

 

 

 

ถ้าถามว่าจะป้องกันเรื่องนี้อย่างไร ก็ต้องทำทั้งสองอย่าง คือตัดโอกาสและตัดเหตุจูงใจ

ตัดโอกาส คือเรื่องการควบคุมอาวุธปืน ไม่ให้มีมายิงกันง่าย ๆ แต่เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้ยากเพราะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง บริษัทปืนก็ดี สนามยิงปืน สวัสดิการปืนของหน่วยราชการก็ดี ก็ต้องอาศัยพลังของคนในสังคมช่วยกันผลักดัน เพราะแม้ต่อให้จ่าคนนี้ไม่ไปปล้นอาวุธปืน แต่ตัวเขาเองก็มีปืนอยู่แล้ว 5 กระบอก หรือ ผอ.กอล์ฟเองก็มีอาวุธปืนอานุภาพร้ายแรง

 

ส่วนการตัดมูลเหตุจูงใจ ก็ต้องเปิดช่องให้คนในสังคมได้มีโอกาสระบาย ไม่ใช่สร้างกฎหรือกติกาที่มีการเอาเปรียบกันได้ จนทำให้คนไม่มีโอกาสได้ระบายหรือคลายความกดดัน

 

 

 

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การลอกเลียนแบบนั้นมี 2 มิติ

  1. การเรียนรู้จากตัวแบบ คือ เราได้เรียนรู้ว่าตัวแบบกระทำอะไร อย่างไร ด้วยวิธีการอย่างไร ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
  2. แรงจูงใจให้กระทำพฤติกรรมตามแบบ นั่นแปลว่า การเรียนรู้พฤติกรรมจากตัวแบบไม่ได้หมายความว่าเราจะทำเลียนแบบ เราต่างรู้ว่าเราจะฆ่าใครอย่างไร ฆ่าตัวเองอย่างไร ขโมยอย่างไร แต่ถามว่าเราจะทำหรือไม่

ดังนั้นตัวแบบไม่ได้ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ แต่ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจ ว่าเรามีตัวกระตุ้นให้ต้องการที่จะทำพฤติกรรมนั้นหรือไม่ มีความสามารถที่จะทำได้หรือไม่ เช่น เรารู้วิธีการปล้นธนาคาร เราคิดอยากปล้นธนาคาร เราไปหาอาวุธได้ แต่เมื่อธนาคารมีวิธีการป้องกันที่ดี ปล้นไปแล้วอาจจะติดคุกหรือตาย เราก็ไม่ปล้น

 

ดังนั้นเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย ต้องมีการประจวบเหมาะของแรงจูงใจ ตัวกระตุ้น โอกาส สถานการณ์ และการฆ่ากันตาย ยิงกัน จี้ปล้น หรือยิงปืนระบายความเครียดอย่างเหตุการณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราไม่สามารถเปรียบเทียบกับเหตุการณ์นี้ที่ได้

 

 

 

การก่อความรุนแรงเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้วางแผนไว้ได้หรือไม่

ต้องแยกกันระหว่างการวางแผน และการตั้งใจ เช่นในกรณีโคราชนั้น จากการวิเคราะห์ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการก่อเหตุที่มีการวางแผน แต่จะก่อเหตุโดยตั้งใจหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผู้ก่อเหตุมีการลำดับแผนการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่เมื่อวางแผนแล้วยังไม่ได้มีการตั้งใจจะทำ แต่เขาทำเพราะมีเหตุกระตุ้นให้ลงมือ หากเป็นการหุนหันพลันแล่นโดยไม่มีการวางแผนแล้วนั้น เมื่อมีเหตุกระตุ้นทำให้เกิดความโกรธรุนแรง ก็จะหยิบปืนขึ้นมายิงเปรี้ยงหนึ่ง แล้ววาง จะไม่มีการไปยิงผู้อื่น แต่ในกรณีโคราชที่มีการวิ่งไปยิงผู้อื่นต่อ แสดงว่ามีการวางแผน ว่าถ้าทำแล้วจะต้องมีชื่อของตนปรากฏออกไปให้ได้ ให้คนรู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ มีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน

ดังนั้นในกรณีโคราช เรียกว่าเป็นการประจวบเหมาะของแผนการ เหตุกระตุ้น โอกาส ความสามารถที่จะลงมือ

 

ดังนั้นการที่จะป้องกันเหตุความรุนแรง ต้องหาทางป้องกันสภาพแวดล้อมไม่ให้มีโอกาสหรือปัจจัยเอื้อต่อการเกิดเหตุการณ์ เช่น การเข้าถึงอาวุธ ฯลฯ การจะไปควบคุมตัวบุคคลไม่ให้มีความก้าวร้าวหรือคิดวางแผนในใจเป็นเรื่องยาก เพราะคนได้เรียนรู้วิธีการต่าง ๆ ไปแล้ว รู้แล้วว่าถ้าอยากทำจะทำได้อย่างไร

การจัดการที่สภาพแวดล้อมจึงเป็นสิ่งที่ทำได้เบื้องต้น ถ้าควบคุมสภาพแวดล้อมได้ ต่อให้คนมีความก้าวร้าวอย่างไรเหตุการณ์ก็จะไม่เกิด หรือถ้าเกิดก็จะไม่รุนแรง จากนั้นสิ่งที่ควรทำต่อไปคือการให้สถาบันครอบครัวเลี้ยงดูปลูกฝังเด็กให้รู้จักควบคุมตัวเอง มีภูมิคุ้มกันที่จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้ เมื่อเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ก็ต้องหันกลับมาควบคุมที่ตัวเอง

 

 

 

 

การฆ่าตัวเอง และการฆ่าผู้อื่น แบบธรรมดา (ด้วยรักโลภโกรธหลง) เกิดขึ้นได้ทั้งโดยวางแผนและไม่ได้วางแผน

 

ส่วนการฆ่าอีกลักษณะหนึ่งที่เรียกว่า การฆ่าต่อเนื่อง serial killer เช่นกรณีของสมคิด ที่มีการฆ่า แล้วเว้นระยะ แล้วกลับมาทำใหม่ แล้วทิ้งระยะอีก เช่นนี้คือมีการวางแผนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมีการเลือกที่กระทำต่อเหยื่อบางกลุ่ม คือเลือกเหยื่อที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ที่ทำแล้วสามารถปกปิด หลุดรอดได้ ไม่ถูกจับ ในสถานที่ที่ไม่มีใครเห็น เช่นในโรงแรมหรือในบ้าน

 

และมีการฆ่าอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า spree killer คือการฆ่าต่อเนื่องด้วยอารมณ์พาไป ยิงคนแรกและคนที่สองที่สามต่อไปด้วยอารมณ์ ยิงไปเรื่อยๆ ในสถานที่แตกต่างด้วยระยะเวลาอันสั้น ลักษณะแบบนี้มีการวางแผนอยู่บ้างเหมือนกัน เช่น กรณีที่ลพบุรี พอยิงคนแรกแล้ว คนอื่นยิงตามไปไม่มีเหตุผลแล้ว แต่การที่จะไปปล้นก็มีการวางแผนมาก่อน

 

การฆ่าประเภทที่สุดท้ายคือ การกราดยิง หรือ Mass Shooting ทุกกรณีหรือส่วนใหญ่ มีการวางแผนทั้งนั้น เพราะการจะทำอย่างนี้ได้ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะอาวุธ เช่นในกรณีโคราช ผู้ก่อเหตุมีการคิดแล้วว่าจะไปปล้นอาวุธ และมีการโพสต์ในเฟซบุ๊กก่อนว่าเดี๋ยวคอยดู จะมีข่าวใหญ่ เช่นเดียวกับในอเมริกา ผู้ก่อเหตุก็จะโพสต์หรือมีการบันทึกเอาไว้ว่าจะสร้างประวัติศาสตร์ให้คนคอยจดจำ

 

 

 

มุมมองทางอาชญวิทยาต่อการวิสามัญคนร้าย

การใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหาความรุนแรง ก็จะเพิ่มความรุนแรงขึ้นไปอีก อย่างกรณีในนิวซีแลนด์ ที่มีการกราดยิงในมัสยิดแล้วไลฟ์เฟซบุ๊ก เจ้าหน้าที่จับเป็นคนร้าย แล้วไม่ให้ตัวตนกับคนร้าย ส่งคนร้ายเข้าคุกไป ในนอร์เวย์มีการยิงเด็กในค่ายหลายสิบคน ตอนนั้นก็มีคนเรียกร้องให้ประหารชีวิต แต่เขาตัดสินจำคุก และได้ให้คำอธิบายว่าปกติคนในประเทศของเขาไม่มีการทำผิดแบบนี้อยู่แล้ว เป็นสังคมที่มีความสงบ ปราศจากความรุนแรง

การที่มีใครสักคนมาก่อเหตุแบบนี้แสดงว่าคนนั้นต้องมีความผิดปกติที่ควรได้รับการแก้ไข ควรบำบัดคนเหล่านั้นให้กลับมา จึงส่งเข้าคุกที่ดีที่สุดในโลก มีความสวยงาม สะอาด สะดวกสบาย เพื่อเปลี่ยนให้ดีขึ้น

 

ดังนั้นจะวิสามัญหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ความคิดของคนในสังคม ถ้าสังคมไหนมีแนวคิดตาต่อตาฟันต่อฟัน ความรุนแรงต้องแก้ด้วยความรุนแรง ก็จะมีการวิสามัญ ถ้าที่ไหนมีปรัชญาเปลี่ยนคนโดยไม่ใช้ความรุนแรง ก็จะไม่มีการประหารหรือวิสามัญ

 

 

 

สำหรับในนอร์เวย์ในอเมริกาเมื่อจำคุกครบจำนวนขั้นต่ำแล้ว เขาจะมีการประเมินก่อนว่าสภาพจิตใจสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้หรือยังเป็นอันตรายต่อสังคมหรือไม่ ในบางกรณีที่มีคนประเมินไม่ผ่าน ก็ติดคุกต่อไปอีก ซึ่งหลายเคสที่สภาพจิตใจเขาเสียไปแล้ว โอกาสที่จะกลับมาเหมือนเดิมก็ยาก โดยเฉพาะในกรณีทีเป็นการฆ่าต่อเนื่อง เขาสามารถเว้นการก่อเหตุไปได้หลายปี เว้นไปห้าปี สิบปี สิบเก้าปีก็ยังมี แล้วกลับมาก่อเหตุได้ ไม่หาย ดังนั้นการปรับ การแก้ไขพฤติกรรม การเยียวยา ก็เป็นเรื่องจำเป็น

แต่กับบางคนก็ไม่สามารถทำได้ ต้องเก็บเขาไว้นาน ๆ ให้ความชราภาพทำลายศักยภาพในการประกอบอาชญากรรม

 

อย่างไรก็ดีสำหรับในประเทศไทย ระบบคำพิพากษาของเราเป็นคำพิพากษาที่ตายตัว คือ จำคุกสิบปี ก็คือสิบปี ต่างจากของต่างประเทศที่เป็นแบบขั้นต่ำ คือ อย่างน้อยสิบปี เมื่อติดคุกสิบปีแล้ว ก็มาประเมินว่าควรจะอยู่อีกกีปี ของเราจึงไม่มีการประเมิน แต่มีการอบรมขัดเกลาในระหว่างที่ติดอยู่

 

อีกประเด็นหนึ่งคือการแยกแยะคนที่กระทำผิดโดยพลั้งพลาด หรือโดยสันดานเป็นผู้ร้าย ด้วยความโหดเหี้ยมทารุณ ใครที่กระทำผิดโดยพลั้งพลาดก็ควรที่จะให้เขาได้รับโอกาสกลับสู่สังคม แต่คนที่ทำผิดโดยร้ายแรง เราควรจะเก็บเขาไว้นาน ๆ แต่ด้วยระบบกฎหมายของเราขณะนี้เราไม่สามารถเก็บเขาไว้ได้นาน เมื่อคำพิพากษาเสร็จสิ้นแล้ว ก็ต้องปล่อยออกมา

แต่ตอนนี้กระทรวงยุติรรมมีแนวคิดที่จะเก็บคนเหล่านี้ไว้นาน ๆ ด้วยมาตรการต่าง ๆ หรือทีฟลอริด้า กฎหมายของเขา หากผู้ใดมีการกระทำผิดซ้ำเดิมครบ 3 ครั้ง แม้เป็นเพียงคดีเล็กน้อย เช่น ขโมยชุดชั้นใน ก็สามารถจำคุกตลอดชีวิตได้ เพราะถือว่ากระทำผิดโดยสันดาน

จิตวิทยาความรุนแรง : กรณีสามีทำร้ายภรรยา

 

ทุกสังคมมีความคิดตรงกันว่าสตรีและเด็กจัดเป็นบุคคลที่อ่อนแอ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เมื่อถูกทำร้าย ดังนั้นการก่อความรุนแรงต่อสตรีและเด็กจึงเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญคนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้เกี่ยวข้องพยายามค้นหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตามพฤติกรรมดังกล่าวก็ยังคงปรากฏอยู่ในทุกสังคม และนับวันจะยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้น

 

พฤติกรรมการทำร้ายร่างกายภรรยาของสามี มักจะเริ่มต้นจากการผลักและการตบหน้าภรรยา แล้วเพิ่มความรุนแรงขึ้นไปจนถึงขั้นทุบตี เป็นเหตุให้ภรรยาบาดเจ็บสาหัส บางรายอาจเสียชีวิต และ/หรือดำรงชีวิตต่อไปอย่างหวาดกลัว

 

การศึกษาของ Yllo และ Straus (1981) พบว่าความรุนแรงในลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึ้นบ่อยในคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาว ซึ่งอาจจะแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่จดทะเบียนสมรสกันก็ได้ มีฐานะยากจน และตกงาน ส่วนงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (O’ Leary และคณะ, 1989) ได้ระบุว่าการแสดงความรุนแรงต่อกันในระดับต่ำได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มผูกสมัครรักใคร่กัน กล่าวคือ เพศหญิง 44 % และเพศชาย 31 % รายงานว่ามีการผลักหรือตบหน้าคู่สัมพันธ์มาตั้งแต่ก่อนสมรสแล้ว รวมทั้งเพศหญิง 36 % เพศชาย 27 % รายงานว่ามีการทำร้ายกันและกันในช่วง 18 เดือนแรกของชีวิตสมรส ด้วยเหตุนี้ คู่สมรสบางคู่จึงได้ทำข้อตกลงตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตร่วมกันว่า จะจำกัดความรุนแรงที่อาจแสดงต่อกันในรูปของความก้าวร้าวทางวาจาเท่านั้น

 

พฤติกรรมการทำร้ายร่างกายกันดังกล่าวยังพบได้บ่อยหลังการเสพสุรา หรือยาเสพติด แต่ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับเชื้อชาติและสถานะทางเศรษฐกิจ

 

 

สามีที่ชอบทำร้ายร่างกายภรรยาจะมีลักษณะบุคลิกภาพแบบใด?


 

งานวิจัยชิ้นหนึ่ง (Bouza, 1990) ได้ระบุว่า สามีที่ทำร้ายภรรยามักเป็นคนโดดเดี่ยวทางสังคม มีการตระหนักถึงคุณค่าของตนเองในระดับต่ำ มีความไม่มั่นคงทางเพศ ขี้อิจฉาริษยารวมทั้งมักจะโยนความผิดให้ฝ่ายภรรยา

 

เมื่อสามีมีลักษณะอันไม่พึงประสงค์ดังกล่าวแล้ว เหตุใดภรรยาจึงไม่ตีจากไปแต่ยังคงอดทนอยู่ด้วย?

 

O’ Leary และคณะ (1989) พบว่าเศษหนึ่งส่วนสี่ของผู้หญิงที่อยู่ในสภาวะดังกล่าว มิได้คิดว่าชีวิตคู่ของตนไร้ความสุข บุคคลดังกล่าวมักไม่ยอมรับความจริงและโทษว่าสิ่งที่ก่อให้เกิดความรุนแรงดังกล่าว คือ เหล้า ความเครียด ความคับข้องใจ หรือไม่ก็แปลความหมายของพฤติกรรมดังกล่าวว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรัก หรือความเป็นชายที่แท้จริง รวมทั้งมีความเชื่ออย่างฝังใจว่าคู่ของตนมิได้มีเจตนาจะทำร้ายตน

 

ส่วนภรรยาที่มีการตระหนักในคุณค่าของตนเองต่ำ จะรู้สึกว่าตนเองสมควรจะถูกทุบตี ภรรยาที่ไม่สามารถพึ่งพิงตนเองทางเศรษฐกิจได้ จะรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถจะไปไหนได้รอดเนื่องจากไม่มีงานทำ จึงต้องกลับมาทนอยู่ในสภาพเดิม และภรรยาบางคนจำต้องทนอยู่ เนื่องจากรู้ว่าหากหนีไป สามีจะติดตามหาอย่างไม่ลดละ หากพบอาจจะทำร้ายร่างกายหนักกว่าที่เป็นอยู่ หรืออาจจะฆ่าภรรยาที่ทรยศได้

 

นอกจากนั้นแล้ว ภรรยาที่ถูกทำร้ายร่างกายยังคิดว่าตนเองไร้ที่พึ่งพิง ด้วยเหตุว่าเมื่อแจ้งความแล้ว ตำรวจมักมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว พยายามไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกัน และแทบจะไม่เคยจับสามีเข้าคุกเลย ซึ่งขัดแย้งกับผลการวิจัยของ Bouza (1990) ที่รายงานว่า สามีที่ทำร้ายภรรยาแล้วถูกจับกุมคุมขัง มีแนวโน้มจะทำร้ายภรรยาน้อยลง

 

ในปัจจุบัน สังคมได้ให้ความสนใจต่อสถานการณ์ดังกล่าวมากขึ้น โดยมีการตั้งบ้านฉุกเฉินสำหรับเด็กและสตรีที่ถูกทำทารุณกรรมขึ้น เพื่อช่วยเหลือให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการทารุณกรรม รวมทั้งให้ความช่วยเหลือในการดำเนินการด้านคดีความ นอกจากนั้นยังได้จัดโปรแกรมพิเศษเพื่อช่วยเหลือสามีที่ชอบทำร้ายภรรยาให้หยุดพฤติกรรมที่เลวร้ายดังกล่าว โดยการจัดให้มีการให้คำปรึกษาเป็นกลุ่ม มีการทำครอบครัวบำบัด (family therapy) ซึ่งจะช่วยแก้ไขพฤติกรรมของบุคคลต่าง ๆ ในครอบครัว อีกทั้งยังช่วยหยุดความรุนแรงในระดับต่ำหรือปานกลางลงก่อนที่จะลุกลามจนเกิดอันตรายขึ้นได้

 

 


 

 

ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย รองศาสตราจารย์ศิรางค์ ทับสายทอง

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

การใฝ่หาความสนใจทำให้เรามีความสร้างสรรค์น้อยลง

 

ในบทความนี้ผู้เขียนจะเล่าถึง TED Talk ของนักแสดงชายชื่อดัง โจเซฟ กอร์ดอน เลวิท เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึก 2 ประเภท คือ การให้ความสนใจ (paying attention) และการได้รับความสนใจ (getting attention)

 

ความรู้สึกสองอย่างนี้อาจจะพอจำแนกได้โดยง่าย แต่เพื่อให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น ผู้เขียนขออธิบายดังนี้

 

การให้ความสนใจ หมายถึงการมีส่วนร่วมกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบัน ในกรณีของโจเซฟ เขาได้อธิบายถึงการทุ่มเทกับการสร้างสรรค์ในงานแสดงและการกำกับภาพยนตร์ ส่วนการได้รับความสนใจ คือความรู้สึกของการได้รับคำชื่นชมจากคนอื่น ๆ หรือการมีชื่อเสียง ในฐานะนักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง โจเซฟมีประสบการณ์ตรงอย่างท่วมท้นกับความรู้สึกทั้งสองแบบ ซึ่งเมื่อเขาได้พิจารณาดี ๆ แล้วเขาพบว่ายิ่งให้ความสำคัญกับการได้รับความสนใจมากขึ้นเท่าใด เราก็จะสูญเสียความสุขที่มีต่อการทุ่มเทให้กับงานสร้างสรรค์ของเราไป

 

มุมมองนี้ของโจเซฟได้รับการสนับสนุนด้วยงานวิจัยและแนวคิดเรื่อง “การไหลลื่น” หรือ “Flow” คำนี้บัญญัติขึ้นโดยนักจิตวิทยาชาวฮังการี ชื่อว่า ซิกเซนมิฮาย (Csikszentmihalyi) จากการศึกษาบุคคลชั้นนำกว่า 90 คน ในวงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวงการศิลปะ ธุรกิจ ราชการ และวิทยาศาสตร์ ซิกเซนมีฮาย (1995) พบว่า ผู้ที่มีความสมบูรณ์และสร้างสรรค์มักเกิดความพึงพอใจและผูกพันในงานสูงกว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีความสมดุลระหว่างความท้าทายของงานและความสามารถของบุคคล ดังเช่น นักเรียนกับคณิตศาสตร์ ถ้าโจทย์เลขยากเกินความสามารถของนักเรียน ก็อาจเกิดความวิตกกังวลและขาดความมั่นใจในตนเอง แต่ถ้ามันง่ายเกินไป เขาก็จะเบื่อ ทั้งสองกรณีไม่อาจสร้างความพึงพอใจและความผูกพันของนักเรียนต่อคณิตศาสตร์ได้เลย

 

ซิกเซนมิฮายอธิบายว่า เมื่อความสมดุลบังเกิด เราก็จะทำสิ่งนั้นด้วยความเพลิดเพลิน จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก เขาเสนอว่า “ความลื่นไหล” คือสิ่งสำคัญที่มอบความสุขและการเติมเต็มให้กับเรา ช่วงเวลาที่ดีที่สุดไม่ใช่การได้อยู่เฉย ๆ หรือผ่อนคลาย แต่เป็นการที่ร่างกายและจิตใจของเราได้ขยายออกไปอย่างถึงที่สุดในการลงมือทำสิ่งที่ยากและคุ้มค่าให้สำเร็จ

 

กลับมาที่เวที TED Talk ของโจเซฟ ความเข้าใจเรื่อง “การลื่นไหล” การเติมเต็มชีวิตและความสุขที่ได้จากสภาวะนี้ คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ด้วยอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ไม่ง่ายเลยที่วัยรุ่นจะสามารถลำดับความสำคัญของ การได้รับความสนใจ ว่าคือปลายทาง ส่วนการทุ่มเทตนเองในงานสร้างสรรค์ ว่าคือสิ่งที่จะพาไปสู่เป้าหมายนั้น

 

ตัวอย่างเช่น มีนักเต้น 2 คน คนหนึ่งมีแรงจูงใจจากการได้รับความสนใจ เธอมีความสุขจากการโพสต์คลิปการฝึกซ้อมและมียอดเข้าชมราว ๆ 500 ครั้ง แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งมียอดเข้าชมเพียง 150 ครั้ง เราสามารถเดาได้ว่านักเต้นคนที่หนึ่งจะรู้สึกท้อและเสียใจที่คนสนใจเขาน้อยลง ส่วนนักเต้นคนที่สอง แรงจูงใจของเธอมาจากความทุ่มเทในการเต้น มีความสุขระหว่างการฝึกซ้อม นักเต้นทั้งสองคนนี้จะเป็นอย่างไรหากต้องซ้อมหนักขึ้นและนานขึ้น นักเต้นคนไหนจะสร้างเส้นทางอาชีพจากความสร้างสรรค์นี้ได้มากกว่า คำตอบนี้อาจจะไม่สามารถฟันธงได้ แต่เราก็คงจะพอเห็นภาพได้ว่านักเต้นคนใดที่จะได้รับการเติมเต็มและมีความสุขมากกว่าหลังผ่านการฝึกซ้อมเป็นเวลานาน

 

ทำไมถึงแรงจูงใจจากภายนอกเช่นความโด่งดังนั้นไม่ยังยืน ประเด็นนี้โจเซฟมองว่า การได้รับความสนใจคือการเสพติดอย่างหนึ่ง “ครั้งหนึ่งตอนที่ผมมีผู้ติดตามถึงหนึ่งล้านคน ผมเคยรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก ตอนนี้ผมมีผู้ติดตาม 4.2 ล้านคนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมพอใจแล้ว …มันไม่เคยพอ” ตัวเลขนี้ดูจะห่างไกลจากวัยรุ่นทั่วไปมากๆ เราอาจจะสรุปเร็วเกินไปว่าแรงจูงใจจากภายนอกนั้นไม่ยั่งยืน แต่ที่แน่ ๆ แรงจูงใจจากภายในเช่นความพึงพอใจที่ได้รับจากการทุ่มเทในงานสร้างสรรค์นั้นย่อมเป็นเป้าหมายที่จะนำไปสู่ความสุขในชีวิตมากกว่าการแสวงหาความโด่งดัง

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Csikszentmihalyi, M. (2013). Flow: the Psychology of Happiness. London: Ebury Digital.

 

 

 


 

บทความวิชาการ

โดย อาจารย์ภูมิ โชติกะวรรณ

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย