ความเพลิน (flow) เป็นสภาวะจิตใจในเชิงบวกที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น ขณะที่บุคคลจมดิ่งไปกับความรู้สึกมีสมาธิและทุ่มเทอย่างเต็มที่กับชั่วขณะปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความเพลิดเพลินกับกิจกรรมที่ทำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบริบทของเกม กีฬา หรือการทำงาน โดยขณะเกิดประสบการณ์ความเพลิน นอกจากบุคคลจะรู้สึกเพลิดเพลินแล้ว ยังเกิดแรงจูงใจภายในและรู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สภาวะดังกล่าวมักเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นสูงสุดเมื่อบุคคลรับรู้ถึงความสมดุลระหว่างความท้าทายและความสามารถของตนเองทำให้ช่วงเวลานั้นบุคคลสามารถทำกิจกรรมได้อย่างไหลลื่นจนลืมเวลา เนื่องจากจดจ่อกับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่และรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน จึงเกิดแรงจูงใจในการทำกิจกรรมนั้นอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะได้ประสบความสุขและความพึงพอใจซึ่งเป็นรางวัลในตัวเอง
ความเพลินเป็นภาวะที่นำไปสู่สมาธิ เพิ่มการเห็นคุณค่าในตนเองและเอื้อให้บุคคลเกิดสุขภาวะที่ดี เนื่องจากเมื่อบุคคลเกิดความเพลิน บุคคลจะเกิดสมาธิ มีเป้าหมาย เกิดการทำงานอย่างสอดคล้องกันระหว่างกายและใจ ทั้งยังเกิดการทำงานภายในตนเองโดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้าภายนอก ความเพลินคือการผสานรวมกันของความคิด ความตั้งใจ ความรู้สึก และการเพ่งสมาธิไปที่เป้าหมายเดียวกัน หลังจากบุคคลสัมผัสความเพลิน บุคคลจะรับรู้ถึงความสามารถของตน แล้วจึงเกิดการเชื่อมโยงภายในตนเอง
ความเพลิดเพลินแตกต่างจากความสนุกทั่วไปตรงที่ บุคคลไม่สามารถนิ่งเฉยเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินได้ บุคคลจะต้องลงมือทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งความเพลินจึงจะเกิดขึ้น
องค์ประกอบของความเพลิน
- ความสมดุลระหว่างทักษะและความท้าทายของกิจกรรม เมื่อเกิดความเพลินในการทำกิจกรรม บุคคลจะเกิดภาวะสมดุลระหว่างความท้าทายของกิจกรรมหรือสถานการณ์นั้นกับทักษะของตน บุคคลจะรับรู้ได้ว่ากิจกรรมตรงหน้าท้าทายแต่ก็เป็นไปอย่างอัตโนมัติและไม่ได้ยากเกินความสามารถ
- การผสานกันระหว่างการตระหนักรู้และการลงมือทำ เมื่อเกิดความเพลิน บุคคลจะทำกิจกรรมได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ ตามสัญชาตญาณและเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ไม่มีการแยกตัวเองออกจากสิ่งที่ทำ
- เป้าหมายชัดเจน บุคคลจะเกิดเป้าหมายชัดเจนในระหว่างทำกิจกรรม รับรู้ว่าตนเองกำลังจะทำสิ่งใด
- ได้รับข้อมูลป้อนกลับอย่างไม่กำกวม บุคคลรับรู้ข้อมูลป้อนกลับได้ด้วยตนเองในขณะที่ทำกิจกรรม รับรู้ได้ว่าตนกำลังทำในสิ่งที่ถูกหรือไม่ โดยไม่ต้องอาศัยการตัดสินหรือวิจารณ์จากผู้อื่น
- มีสมาธิมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำ บุคคลเกิดการเพิ่งความสนใจและสมาธิไปยังกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า
- รับรู้ความสามารถในการควบคุม บุคคลรับรู้ความสามารถในการควบคุมกิจกรรมและมีความสามารถในการกำหนดสิ่งที่จะทำตรงหน้า ไร้ความกังวล รับรู้ว่าตนสามารถทำสิ่งใดก็ได้
- ละการคำนึงถึงตนเอง เมื่อเกิดความเพลิน การคำนึงถึงตนเองจะหายไป เนื่องจากบุคคลให้ความสนใจอย่างเต็มที่ต่อสถานการณ์เบื้องหน้า บุคคลจึงไม่กังวลเกี่ยวกับตนเองและทำกิจกรรมด้วยความมั่นใจและอิสระ อย่างไรก็ตาม การไม่นึกถึงตนเองไม่ได้หมายความเช่นเดียวกับการสูญเสียการตระหนักรู้ในตน บุคคลยังรับรู้กายและใจ แต่ไม่มีการให้ความหมาย ตีความ หรือกังวลต่อตนเอง
- รับรู้เวลาแตกต่างไป บุคคลรับรู้ว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ช้าลง หรืออาจไม่ได้คำนึงถึงเวลาที่ผ่านไปเลย
- ประสบการณ์เป็นรางวัลของตัวมันเอง เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ บุคคลจะรับรู้ถึงความสุข รู้สึกเพลิดเพลินกับประสบการณ์นั้น ๆ อย่างแท้จริง โดยสัมผัสได้ว่าแค่เพียงทำกิจกรรมดังกล่าวก็รู้สึกเป็นรางวัลได้ด้วยตัวมันเอง
กิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิน
ความเพลินเกิดขึ้นได้ในหลายกิจกรรม เช่น การอ่าน การเขียน การทำงาน การเรียน กีฬา การทำงานศิลปะ การเล่นดนตรี การทำการแสดง หรือแม้แต่การขบคิดพูดคุยอย่างลึกซึ้ง
เมื่อบุคคลพบความเพลินแล้วไม่ได้หมายความว่าความสุขหลังจากนั้นจะคงอยู่ตลอดไป แต่บุคคลต้องฝึกฝนให้เกิดความเพลินอย่างสม่ำเสมอและบ่อยครั้ง เมื่อบุคคลได้จัดการใจบ่อยขึ้น กายและใจทำงานสอดคล้องกันมากขึ้น บุคคลจึงจะมั่นคง เกิดความสอดคล้องในตน รับรู้ความสามารถของตน สามารถสร้างเป้าหมาย ลงมือทำ และมีชีวิตที่มีความสุขได้
สิ่งที่ขัดขวางความเพลิน
สิ่งที่ขัดขวางการเกิดความเพลิน (antiflow) คือ ประสบการณ์ที่บุคคลพบความน่าเบื่อหน่าย (boredom) หรือความวิตกกังวล (anxiety) บุคคลจะไร้แรงจูงใจ เนื่องจากไม่รับรู้ถึงความเป็นอิสระในตนเองและความสามารถในการควบคุม
องค์ประกอบแรกที่เป็นการเปิดประตูสู้ความเพลินคือความสมดุลระหว่างทักษะและความท้าทายของกิจกรรม สมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ค่อนข้างเปราะบาง กล่าวคือ เมื่อใดที่บุคคลรู้สึกว่าความท้าทายมีมากกว่าทักษะของตนความวิตกกังวลจะเกิดขึ้นทันที ความวิตกกังวลนี้จะย้อนไปขัดขวางการหาสมดุลระหว่างความท้าทายกับทักษะ ทำให้การทำกิจกรรมดำเนินต่อไปได้ลำบาก อาจทำให้เกิดการหลีกหนี หยุดชะงัก และทำให้ความเพลินไม่เกิดขึ้นหรือคงอยู่อีกต่อไป บุคคลจะไม่สามารถรวบรวมความคิดได้ดี ไม่สามารถให้ความสนใจในกิจกรรมได้อย่างเต็มที่
การศึกษาความเพลินจึงมีประโยชน์ในการช่วยให้บุคคลรู้จักการเตรียมกิจกรรมที่จะทำให้เหมาะสมกับตน เรียนรู้และพัฒนาทักษะ รวมไปถึงการจัดการจิตใจภายในหรือความวิตกกังวลที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง
ข้อมูลจาก
นัทชนันท์ แทนวิสุทธิ์. (2564). อิทธิพลของปฏิสัมพันธ์สามทาง ระหว่างข้อเรียกร้องในงานที่ท้าทาย ความมีอิสระในการทำงาน และการใช้จุดแข็ง ต่อความเพลินในงาน [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2021.585
อาภัสสร ผาติตานนท์. (2563). ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพแบบวิตกกังวล ความกลัวการถูกประเมินในแง่ลบ ความเพลิน การยอมรับ และ ความวิตกกังวลทางการแสดงละครเวที ในนักแสดงละครเวที [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2020.662