ข้อดีของการปล่อยให้ลูกเบื่อ: ของขวัญล้ำค่าในยุคแห่งความเร่งรีบ

18 Nov 2025

อาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี

 

คนเป็นพ่อแม่ล้วนอยากเห็นลูกๆ ของเราทำกิจกรรมที่ “มีประโยชน์” อยู่ตลอด เรามักรู้สึกว่าถ้าลูกนั่งนิ่งๆ หรือบ่นว่า “เบื่อ” นั่นคือเวลาที่สูญเปล่า และเป็นความล้มเหลวของเราที่ไม่ได้จัดเตรียมกิจกรรมที่ดีพอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเบื่อ ไม่ใช่ศัตรูของพัฒนาการ แต่เป็น “ครู” คนสำคัญที่เด็กยุคใหม่แทบไม่เหลือโอกาสได้พบเจอ บทความนี้ อาจารย์จะขอชวนทุกคนมามอง “ข้อดีของการปล่อยให้ลูกเบื่อ” และเหตุผลว่าทำไมการพยายามตอบสนองลูกให้สนุกอยู่ตลอดเวลาจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการส่งเสริมพัฒนาการ

 

1. ผลกระทบเมื่อลูก “ไม่เคยเบื่อ”

 

ในยุคที่เทคโนโลยีและความบันเทิงอยู่แค่ปลายนิ้ว ความเบื่ออาจถูกมองว่าเป็นสภาวะที่ไม่พึงประสงค์ พ่อแม่หลายคนรู้สึกผิดเมื่อเห็นลูกเบื่อ และรีบชวนลูกเล่นหรือพาไปเปลี่ยนบรรยากาศทันที เพราะเราคิดว่าลูกอาจจะกำลัง “หยุดพัฒนา” แต่ความจริงแล้ว การนั่งนิ่ง ๆ เบื่อ ๆ นั้นมีข้อดีต่อสมองและทักษะชีวิตไม่แพ้การทำกิจกรรมอื่น ๆ

 

เมื่อเด็กได้รับความบันเทิงที่รวดเร็วและเข้มข้นตลอดเวลา สมองจะหลั่งสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า โดปามีน (Dopamine) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ระบบรางวัล (Dopamine Reward System) ทำให้เด็กรู้สึกตื่นเต้น สนุกและพอใจ (ผู้ใหญ่อย่างเราก็ได้โดปามีนเวลาได้ทานของอร่อยๆ ดูซีรีส์ หรือได้ไปเที่ยวสนุกๆ เช่นกัน) ปัญหาคือ หากระบบนี้ถูกกระตุ้นมากเกินไปและบ่อยเกินไป จะทำให้ลูกของเรา “ชินชา” กับระดับความสนุกแบบเดิม ๆ และต้องการความสนุกที่มากขึ้น แรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะหายเบื่อ

 

มีงานวิจัยไม่นานมานี้ ศึกษาการพัฒนาสมองของวัยรุ่นเป็นเวลา 3 ปี พบว่าเด็กที่หยิบมือถือมาเช็กโซเชียลมีเดีย (ซึ่งกระตุ้นระบบรางวัลนี้) บ่อยๆ นั้น สมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคาดหวังรางวัลทางสังคม (social rewards) จะมีความไว (hypersensitive) มากขึ้นเรื่อย ๆ (Maza et al., 2023) แสดงถึงความต้องการที่จะ “เติม” ความพึงพอใจที่บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ เด็กจะรู้สึก “ทน” ต่อความสนุกแบบปกติในชีวิตจริงได้น้อยลง (เช่น การอ่านหนังสือ การต่อเลโก้ หรือการพูดคุยสร้างสัมพันธ์) การปล่อยให้ลูกเบื่อ จึงเปรียบเหมือนการ “รีเซ็ต” ระบบรางวัลของสมอง ให้กลับมาสมดุล และชื่นชมความสุขง่าย ๆ ได้ดังเดิม

 

2. ประโยชน์ด่านแรก: ฝึก “ทน” และ “จัดการอารมณ์”

 

ความเบื่อ คือ “ความรู้สึกไม่สบายตัว” (Discomfort) อย่างหนึ่ง ในยุคที่เรามีทรัพยากรเพื่อความบันเทิงมากมาย เด็กและผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบันจึงมีตัวเลือกในการ “หนี” จากความรู้สึกนี้ทันที ต่างกันที่เด็กจะเติบโตมาในยุคที่พวกเขาไม่เคยได้ฝึก อดทน

การปล่อยให้ลูก “นั่งจมอยู่กับความเบื่อ” สักพัก โดยที่พ่อแม่ไม่รีบเข้าไปจัดการ คือการฝึกให้เขาเรียนรู้ที่จะ อดทนต่อความรู้สึกไม่สบายตัว (Tolerate Discomfort) นี่คือบทเรียนแรกและสำคัญที่สุดในการ จัดการอารมณ์ด้วยตัวเอง (Emotional Regulation) เด็กที่ผ่านจุดนี้ได้จะเติบโตเป็นคนที่มีความอดทน (Grit) และมีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Resilience) เมื่อเจอปัญหาที่ยากกว่าความเบื่อในอนาคต

 

 

3. ประโยชน์ด่านที่สอง: ฝึก “แก้ปัญหา” และสร้าง “ตัวตน”

 

เมื่อเด็กทนต่อความรู้สึกเบื่อได้แล้ว ขั้นต่อไปสมองของเขาจะเริ่มทำงานเชิงรุก ความเบื่อจะกลายสภาพจาก “ความรู้สึกแย่” เป็น “โจทย์ปัญหา” ที่ต้องแก้ไข (“ฉันเบื่อ แล้วฉันจะทำอะไรดี?”) นี่คือจุดเริ่มต้นของ วงจรการแก้ปัญหา (Problem-Solving Cycle) ที่เด็กเป็นผู้ริเริ่มเอง เมื่อเด็กสามารถคิดและลุกไปหาสิ่งที่ทำได้สำเร็จ (เช่น ลุกไปวาดรูป ต่อเลโก้ หรือสร้างบ้านจากกล่องลัง) เขาจะได้เรียนรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการหายเบื่อ นั่นคือ “Sense of Agency” หรือความรู้สึกว่า “ฉันทำได้ ฉันจัดการชีวิตตัวเองได้” ความรู้สึกนี้คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-Esteem) ที่แข็งแกร่ง

 

 

4. ประโยชน์ด่านสูงสุด: “ความคิดสร้างสรรค์” และ “การค้นพบตัวตน”

 

เมื่อสมองของเราไม่ได้จดจ่อกับสิ่งเร้าภายนอก (เวลาที่เรารู้สึกเบื่อหรือใจลอย) เครือข่ายสมองส่วนที่เรียกว่า Default Mode Network (DMN) หรือ “เครือข่ายสมองในภาวะปกติ” จะเริ่มทำงาน (Danckert & Merrifield, 2018) เครือข่าย DMN นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคิดทบทวนเรื่องราวของตัวเอง (self-reflection) และการเชื่อมโยงข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกันในสมองให้เกิดเป็นไอเดียใหม่ ๆ หรือความคิดสร้างสรรค์ ไม่เพียงเท่านั้น ในสภาวะ DMN นี้เองที่เด็กจะได้หันกลับมาถามคำถามสำคัญกับตัวเองว่า “แล้วเรา…อยากทำอะไรล่ะ” นี่คือจุดเริ่มต้นของการค้นพบ “ความชอบที่แท้จริง” ของตัวเอง ไม่ใช่ความชอบที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยสิ่งภายนอก เด็กที่รู้จักตัวเอง จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่เลือกทางเดินชีวิตได้สอดคล้องกับตัวตน

 

 

5. บทบาทพ่อแม่คือการเตรียมเครื่องมือ มิใช่แก้ปัญหา

 

อย่างไรก็ตาม การที่รอให้ลูกเบื่อแล้วบอกว่า “ลองคิดดูว่าจะทำอะไรแก้เบื่อ” อาจจะไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการฝึกทักษะนี้ให้กับลูก นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาที่รู้สึกเบื่อ สมองส่วนคิดวิเคราะห์หรือการวางแผน (Prefrontal Cortex) จะอยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมทำงาน สิ่งที่เราทำได้คือ “เตรียมเครื่องมือ” ให้เขาตั้งแต่ก่อนจะเบื่อ โดยการชวนลูกคุยในเวลาที่อารมณ์ดี (ก่อนเบื่อ) เพื่อช่วยกันคิดหากิจกรรมที่ลูกสามารถทำได้ด้วยตัวเองเตรียมไว้ และจดรายการเหล่านั้นไว้เป็น “แคตตาล็อกแก้เบื่อ” (Boredom Catalogue) สำหรับเปิดดูเตือนความจำเวลาต้องใช้งานจริง

 

ตัวอย่างในแคตตาล็อกอาจเช่น:

  • อ่านหนังสือการ์ตูนเล่มเก่า
  • เล่นบอร์ดเกมส์กับพ่อแม่
  • วาดรูปที่ตัวเองชอบ
  • นึกถึงการ์ตูนโปรดของตัวเองและแต่งตอนเรื่องต่อเองตามใจชอบ
  • ออกไปขี่จักรยาน
  • ประดิษฐ์สิ่งของใช้เอง

 

หากลูกของเรายังอ่านหนังสือไม่ออก พ่อแม่อาจใช้วิธีวาดรูป หรือหารูปจากอินเตอร์เน็ตที่สื่อถึงกิจกรรมนั้นมาแปะไว้ให้น้องแทนก็ได้ เมื่อลูกบ่นว่าเบื่อครั้งต่อไป แทนที่เราจะเสนอทางออก เราเพียงเตือนเขาว่า “เรามีแคตตาล็อคแก้เบื่ออยู่นะ” ให้เราชี้ไปที่แคตตาล็อกนั้น เพื่อให้เขาเป็นคน “เลือก” และ “เริ่ม” ด้วยตัวเอง โดยมีเราเป็นผู้ร่วมสนับสนุนให้สิ่งที่เขาคิดเกิดขึ้นได้จริง

 

 

โดยสรุป ความเบื่อไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินที่พ่อแม่ต้องรีบแก้ไข แต่เป็นช่วงเวลา “พัก” ที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อพัฒนาการ ทั้งด้านสมอง (DMN) และจิตใจ (Emotional Regulation) มันคือโอกาสทองที่เปิดให้เด็กรู้จักตัวเอง ฝึกความอดทน สร้างความมีตัวตน และปลุกจินตนาการให้ทำงาน หน้าที่ของเราคือการ “อดทน” ที่จะปล่อยให้ลูกได้เบื่อ และเชื่อมั่นว่าสมองของเขากำลังทำงานเพื่อให้ตัวเองพัฒนาไปในขั้นต่อไปได้

 

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Danckert, J., & Merrifield, C. (2018). Boredom, sustained attention and the default mode network. Experimental Brain Research, 236(9), 2507–2518. https://doi.org/10.1007/s00221-016-4617-5

 

Mann, S., & Cadman, R. (2014). Does being bored make us more creative? Creativity Research Journal, 26(2), 165–173. https://doi.org/10.1080/10400419.2014.901073

 

Maza, M. T., Fox, K. A., Kwon, S. J., Flannery, J. E., Lindquist, K. A., Prinstein, M. J., & Telzer, E. H. (2023). Association of habitual checking behaviors on social media with longitudinal functional brain development. JAMA Pediatrics, 177(2), 160–167. https://doi.org/10.1001/jamapediatrics.2022.4924

 

 

 


 

 

 

บทความโดย

อาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ

 

แชร์คอนเท็นต์นี้