เมื่ออายุไม่ใช่ตัวเลข ทำไมความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างผู้ใหญ่และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีจึงน่ากังวล

20 Jun 2025

อาจารย์ ดร.รพินท์ภัทร์ ยอดหล่อชัย

 

ปัจจุบันในไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนโลกโซเชียลมีเดียเริ่มมีการถกเถียง ตั้งคำถาม และแสดงความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาว (หรือแบบคู่รัก) ระหว่างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี (หรืออาจเกิน 18 ปีมาเล็กน้อย) และผู้ใหญ่อายุ 25 ปีขึ้นไป แม้ความรักระหว่างคนที่บรรลุนิติภาวะ 2 คนที่ยินยอมโดยสมัครใจจะไม่ใช่เรื่องผิด เนื่องจากอายุที่ให้ความยินยอมทางเพศได้ (age of consent) ในไทยอยู่ที่ 15 ปี (แต่เมื่อพรากผู้เยาว์ที่ต่ำกว่า 18 ปีสามารถถูกดำเนินคดีได้หากผู้ปกครองเป็นเจ้าทุกข์ต้องการจะเอาผิด) เสียงจากสังคมนี้เองสะท้อนถึงการตื่นรู้หรือมีการตระหนักมากขึ้นเกี่ยวกับอันตรายทางจิตใจและจริยธรรมที่มักแฝงอยู่ในความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับเด็กวัย 15-18 ปี ที่อาจดู ‘โตเป็นผู้ใหญ่’ แต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (บางครั้งอาจรวมถึงคนที่เลยวัย 18 ปีมาเล็กน้อย)

 

ในมุมมองทางจิตวิทยา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ช่วงอายุที่แตกต่างกัน (age gap) แต่เป็นเรื่องของ อำนาจที่ไม่เท่าเทียม (power dynamic) การถูกชักจูงทางอารมณ์ (emotional manipulation) และการให้ความยินยอม (consent) ที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

 

การชักจูงทางอารมณ์เกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าอายุจะต่างกันหรือไม่ แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นเด็กและอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ โอกาสในการเกิดการชักจูงทางอารมณ์จะสูงขึ้นอย่างมาก รวมไปถึงไม่ใช่ทุกความสัมพันธ์ที่อายุห่างกันจะเป็นปัญหา เช่น คนอายุ 18 และ 25 ปี ที่อยู่ในช่วงชีวิตใกล้เคียงกัน เช่น ทั้งคู่กำลังทำงาน หรือ ทั้งคู่กำลังเรียน อำนาจของแต่ละฝ่ายในความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก ทำให้อาจไม่มีปัญหาก็เป็นได้ ดังนั้นปัจจัยที่สำคัญไม่ใช่ว่าอายุห่างกันแค่ไหน แต่เป็นเรื่องของอำนาจที่ไม่เท่าเทียม วุฒิภาวะทางอารมณ์ และเจตนา

 

 

เด็กและวัยรุ่นเป็นวัยที่ยังอยู่ในช่วงพัฒนาการด้านอารมณ์ ความคิด และทักษะทางสังคม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าสมองของคนเราจะพัฒนาอย่างเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 25 ปี โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การวางแผน และการประเมินความเสี่ยง เด็กอาจดูโตกว่าวัยหรือโตเป็นผู้ใหญ่จากการแต่งตัว ท่าทาง หรือความคิด ตัวเด็กเองอาจคิดว่าตัวเอง ‘เลือกเอง’ ‘ตัดสินใจเอง’ หรือ ‘คิดเองเป็น’ แต่ความจริงคือสมองของพวกเขายังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ทำให้มีแนวโน้มที่จะหุนหันพลันแล่น เชื่อคนง่าย และอ่อนไหวต่อความสนใจจากผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้เด็กจึงมีความเสี่ยงต่อการถูกชักจูงได้ง่าย

 

ในขณะที่ผู้ใหญ่อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไปมักมีประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่า มีการควบคุมอารมณ์ที่ดีกว่า หรือมีสถานะทางสังคมสูงกว่า สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงอำนาจที่มากกว่า ความสัมพันธ์แบบนี้จึงมี ‘ความไม่เท่าเทียม’ แฝงอยู่ตั้งแต่เริ่มต้น แม้ภายนอกจะดูเป็นความสัมพันธ์ที่สมัครใจ เด็กดูน่าที่จะให้ความยินยอมหรือปฏิเสธได้ แต่แท้จริงแล้วผู้ใหญ่มักเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่า และจุดนี้เองมีผลต่อความสามารถในการให้ ‘การยินยอมอย่างแท้จริง’ ของเด็ก เพราะเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีอำนาจที่มากกว่า โอกาสที่อีกฝ่ายจะถูกชักจูงย่อมมีมากกว่าเสมอไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม ในความสัมพันธ์เช่นนี้ มักมีสิ่งที่เรียกว่า ‘การล่อลวง หรือ กรูมมิ่ง (grooming)’

 

 

‘การล่อลวง หรือ กรูมมิ่ง (grooming) ไม่ใช่การแสดงความรัก ความห่วงใย หรือความเอาใจใส่แบบทั่วไป แต่คือ กระบวนการที่ผู้ใหญ่ค่อย ๆ สร้างความไว้วางใจและความผูกพันทางอารมณ์กับเด็ก เพื่อที่จะสามารถควบคุมให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางที่ตนต้องการ โดยส่วนมากจะรวมไปถึงเรื่องทางเพศที่มักจะเป็นการเอาเปรียบโดยที่เด็กอาจไม่รู้ตัว ซึ่งมีลักษณะดังนี้ (อ้างอิงจากคู่มือของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย)

 

  1. การเลือกคนที่มีจุดเปราะบาง – เลือกเด็กที่เหงา ขาดความมั่นใจ และต้องการการยอมรับจากผู้ใหญ่
  2. การสร้างความไว้วางใจ – มีการให้คำชม ของขวัญ หรือความสนใจ ใส่ใจมากเป็นพิเศษเพื่อให้เด็กไว้วางใจ
  3. การเป็นที่พึ่งทางใจ – ทำตัวเป็นคนที่ ‘เข้าใจ’ และเป็นที่พึ่งพิงทางอารมณ์ของเด็ก
  4. การแยกเด็กออกจากคนรอบข้าง – ค่อย ๆ ทำให้เด็กแยกห่างออกจากเพื่อน ครอบครัว หรือวงสังคมอื่น ๆ
  5. การนำเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง – เริ่มพูดเรื่องเพศ ในลักษณะล้อเล่น หรือแตะเนื้อต้องตัว และมักจะโทษเด็ก (ว่าคิดมากไปเองหรือโทษว่าไม่รักกันมากพอ) หากเด็กปฏิเสธหรือไม่ยินยอม

 

แม้เด็กจะคิดว่าตัวเอง ‘รัก’ หรือ ‘เต็มใจ’ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าการชักจูงทางอารมณ์สามารถแฝงอยู่ได้ในหลากหลายรูปแบบ ผู้ใหญ่บางคนอาจคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดที่จีบหรือชอบเด็กในวัยนี้ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่วัยผู้ใหญ่ สิ่งที่เป็นอันตรายคือการพยายามทำให้ ‘ความห่วงใย’ และ ‘การควบคุม’ เป็นเรื่องเดียวกัน อาจทำตัวเป็นเหมือน ‘เพื่อนคนพิเศษ’ ที่เข้าใจเด็ก แต่กลับละเมิดเด็กโดยการนำเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมไปถึงการแยกเด็กออกจากสังคม

 

การปฏิเสธหรือการไม่ให้ความยินยอมอาจทำได้ยากเพราะเด็กอาจถูกบิดเบือนให้ ‘รู้สึกผิด’ (gaslight) ว่าตัวเองปฏิเสธความรักความห่วงใจที่อีกฝ่ายมีให้ ผนวกกับพัฒนาการทางสมองที่อาจยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เต็มที่ และอำนาจที่ไม่เท่าเทียมจากสถานะทางสังคม ทำให้อาจกล่าวได้ว่า แท้จริงแล้วนั้นเด็กหรือวัยรุ่นยังไม่โตหรือมีวุฒิภาวะมากพอที่จะมองเห็นสัญญาณอันตรายหรือรับมือกับการควบคุมที่แฝงอยู่ในความสัมพันธ์ และด้วยเหตุนี้เองการให้ความยินยอมอย่างแท้จริง (consent) นั้นเป็นไปได้ยากมากในความสัมพันธ์เช่นนี้

 

 

เพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดังขึ้นและเงียบไปในสังคม เราทุกคนสามารถมีบทบาทในการช่วยกันสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ได้ ดังนี้

 

  • ตั้งคำถามกับความเชื่อว่า “ความรักต่างวัยแบบนี้เป็นเรื่องปกติ” โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายยังเป็นเด็ก
  • ระบุให้ชัดในสิ่งที่มันเป็น : ผู้ใหญ่ที่พยายามมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเด็กไม่ใช่เรื่องโรแมนติก แต่มันคือ สัญญาณอันตรายที่ต้องระวัง
  • ให้ความรู้กับเด็ก : สอนเรื่องขอบเขตทางร่างกาย อารมณ์ พื้นที่ส่วนบุคคล ความสัมพันธ์ที่ดี (healthy relationship) และสัญญาณเตือนของการล่อลวงหรือกรูมมิ่ง
  • ให้กำลังใจและสนับสนุนผู้ที่เคยเผชิญเหตุการณ์หรือกล้าเล่าเรื่องของตัวเอง : ไม่ว่าพวกเขาจะดูเหมือน “ยินยอม” หรือ “ไม่ได้ขัดขืน” ในเวลานั้น สิ่งสำคัญคือการฟังโดยไม่ตัดสิน
  • อย่าตำหนิแต่อย่าเงียบเฉย : เด็กบางคนอาจยังไม่เห็นสัญญาณอันตรายในทันที แทนที่จะตำหนิว่ากล่าวหรือทำให้อับอาย ควรพูดคุยกับเขาด้วยความเข้าใจและเห็นใจ ชวนให้เขาตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์นั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้รู้สึกว่าถูกผลักไสหรือโดนตัดสิน
  • อย่าเหมารวมหรือตำหนิคู่รักต่างวัยทุกคู่ : ช่องว่างระหว่างวัยของคู่รักไม่ใช่ปัญหาเสมอไป แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังเป็นเด็กต่ำกว่า 18 ปี (และอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ที่อายุต่างกันมาก) เราอาจต้องเฝ้าระวังใช้การถามด้วยความใส่ใจ ไม่ใช่ด้วยการตัดสิน

 

 

เรื่องนี้ไม่ใช่การต่อต้านคู่รักต่างวัย ห้ามไม่ให้คนมีความรัก หรือการมองว่าคู่รักต่างวัยเป็นเรื่องผิดเสมอไป แต่คือการปกป้องเด็กและเยาวชนจากความสัมพันธ์ที่อาจทำร้ายและทำลายชีวิตและการเติบโตของพวกเขา ในวันที่สังคมไทยเริ่มตื่นรู้และพร้อมที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงเวลาที่เราจะไม่เพิกเฉยต่อสัญญาณอันตรายเหล่านี้เพราะความรักไม่ควรตั้งอยู่บนความไม่เท่าเทียมของอำนาจ


 

 

บทความโดย
อาจารย์ ดร.รพินท์ภัทร์ ยอดหล่อชัย
อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ

แชร์คอนเท็นต์นี้