ข่าวและกิจกรรม

Classroom – Faculty of Psychology: Second semester, 2022

 

Classroom – Faculty of Psychology: Second semester, 2022

Joint International Psychology Program; JIPP

 

 

Monday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
13:00 – 16:00
3807130
INTRO SOC PSY
1
Thipnapa Huansuriya
Comm Arts
09:00 – 12:00
3807250
SOC ORG PSY
1
Watcharaporn Boonyasiriwat
CHULAPAT 13
601
13:00 – 16:00
3807470
CAREER PSY
1
Kullaya Pisitsungkagarn
CHULAPAT 13
601

 

 

Tuesday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
09:00 – 12:00
3800202
PSY LIFE WORK
1
Kullaya Pisitsungkagarn
CHAMCHUREE 10
613
09:00 – 12:00
3807101
INTRO RES METH
1
Graham Pluck
CHULAPAT 13
601
09:00 – 12:00
3807230
SOCIAL COGNITION
1
Adi Shaked
CHULAPAT 13
712
09:00 – 12:00
3807480
SEM INTE EW PSY
1
Panita Suavansri
CHAMCHUREE 10
612
13:00 – 16:00
3807240
SOCIAL DEVELOPMENT
1
Nipat Pichayayothin
Suphasiree Chantavarin
Panrapee Suttiwan
CHULAPAT 13
501
13:00 – 16:00
3807480
SEM INTE EW PSY
1
Jennifer Chavanovanich
CHAMCHUREE 10
612

 

 

Wednesday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
08:00 – 10:00
3807170
INTRO COG (LECT)
1
Suphasiree Chantavarin
Phot Dhammapeera
Kris Ariyabuddhiphongs
CHULAPAT 13
601
10:00 – 12:00
3807170
INTRO COG (LAB)
09:00 – 12:00
3807380
APPLIED PSYCHOLOGY
1
Kullaya Pisitsungkagarn
CHULAPAT 13
713
13:00 – 16:00
2200201
ACAD REPORT WRIT
1
JDV
MAHIT
501
13:00 – 16:00
2200201
ACAD REPORT WRIT
2
PWS
MAHIT
502
13:00 – 16:00
2200201
ACAD REPORT WRIT
3
STAFF
MAHIT
503
13:00 – 16:00
5518122
ESS ENG PSY II
1
STAFF
CHULAPAT 13
712
13:00 – 16:00
5518122
ESS ENG PSY II
2
STAFF
CHULAPAT 13
713
13:00 – 16:00
5518122
ESS ENG PSY II
3
STAFF
CHULAPAT 13
714

 

 

Thursday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
09:00 – 12:00
3800130
SOC PSY EVERY LIFE
2
Watcharaporn Boonyasiriwat
AR
AR
13:00 – 16:00
3800130
SOC PSY EVERY LIFE
3
Watcharaporn Boonyasiriwat
AR
AR
09:00 – 12:00
3800202
PSY LIFE WORK
2
Kullaya Pisitsungkagarn
ISE
13:00 – 16:00
3800202
PSY LIFE WORK
4
Kullaya Pisitsungkagarn
INDA
09:00 – 12:00
2403185
JUV DEL
1
STAFF
CHULAPAT 13
713
09:00 – 12:00
3494101
LAW HUM RES MGT
1
STAFF
CHULAPAT 13
714
09:00 – 12:00
2403284
CROSS-CULT MGT
1
CTT
CHAMCHUREE 10
613
13:00 – 16:00
2308303
HISTORY OF SCI
1
STAFF
CHAMCHUREE 10
612
13:00 – 16:00
0201107
LRN STUD ACT
1
STAFF
CHAMCHUREE 10
615
13:00 – 16:00
2403284
CROSS-CULT MGT
2
CTT
CHAMCHUREE 10
613

 

 

Friday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
08:00 – 10:00
3807210
PSY METH APP (LECT)
1
Phot Dhammapeera
Suphasiree Chantavarin
CUP4
421
10:00 – 12:00
3807210
PSY METH APP (LAB)

ห้องเรียนของรายวิชาคณะจิตวิทยา ภาคปลาย ปีการศึกษา 2565 ปริญญาตรี (ไทย)

 

ห้องเรียนของรายวิชาคณะจิตวิทยา ภาคปลาย ปีการศึกษา 2565 ปริญญาตรี (ไทย)

 

 

วันจันทร์

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
08:00 – 10:00
3804103
จิตวิทยาพัฒนาการ (บรรยาย)
1
อ.อาภาพร อุษณรัศมี
จุฬาพัฒน์ 4
422
10:00 – 12:00
3804103
จิตวิทยาพัฒนาการ (ปฏิบัติ)
1
08:00 – 12:00
3802202
จิตวิทยาการปรึกษา
1
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
508
10:00 – 12:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
1
STAFF
(ปิดตอนเรียน)
09:00 – 12:00
3800316
ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ
1
ผศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
จุฬาพัฒน์ 13
401
09:00 – 12:00
3803350
พลวัตกลุ่มขั้นนำ
1
ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์
จุฬาพัฒน์ 13
501
13:00 – 15:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
2-3
STAFF
จุฬาพัฒน์ 5
302
13:00 – 16:00
3800111
ระะเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (บรรยาย)
1
ผศ. ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา
จุฬาพัฒน์ 4
422
13:00 – 16:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (บรรยาย)
2
13:00 – 16:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (บรรยาย)
3
13:00 – 16:00
3804300
พัฒนาการอปกติในเด็กและวัยรุ่น
1
ผศ. ดร.สุภลัคน์ ลวดลาย
จุฬาพัฒน์ 13
709
13:00 – 17:00
3804301
การใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาพัฒนาการ
1
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
501

 

 

วันอังคาร

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
08:00 – 10:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
4
STAFF
จุฬาพัฒน์ 5
302
10:00 – 12:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (บรรยาย)
2,6
STAFF
ONLINE
ฟังการชี้แจงครั้งแรก 10 ม.ค. 66 ที่
Zoom Meeting ID: 948 1239 5975
PW: 271078
13:00 – 15:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (บรรยาย)
1,3,4,5,7
STAFF
09:00 – 12:00
3802313
จิตวิทยาเชิงบวกและความงอกงามส่วนบุคคล
1
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์
จุฬาพัฒน์ 13
401
09:00 – 12:00
3803425
ทฤษฎีและการเปลี่ยนเจตคติ
1
ผศ. ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์
จุฬาพัฒน์ 13
501
09:00 – 12:00
3806201
จิตวิทยาสุขภาพ
1
ผศ. ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล
จุฬาพัฒน์ 13
309
09:00 – 12:00
3806221
จิตวิทยาสุขภาพ
1
13:00 – 16:00
3801301
ประสาทวิทยาศาสตร์เชิงปริชาน
1
อ. ดร.พจ ธรรมพีร
จามจุรี 10
613
13:00 – 17:00
3801331
ประสาทศาสตร์เชิงพฤติกรรม
1
13:00 – 16:00
3805302
จิตวิทยาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
1
อ. ดร.วิทสีนี บวรอัศวกุล
จุฬาพัฒน์ 13
401
13:00 – 14:00
3800120
อาชีพทางจิตวิทยา
1
ผศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
จุฬาพัฒน์ 4
422
13:00 – 16:00
3800250
มนุษยสัมพันธ์
1
อ. ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล
จุฬาพัฒน์ 4
421
08:00 – 10:00
3801110
จิตวิทยาปริชาน (บรรยาย)
1-6
อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุฒิพงศ์
อ. ดร.พจ ธรรมพีร
อ. ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์
จุฬาพัฒน์ 4
422
10:00 – 12:00
3801110
จิตวิทยาปริชาน (ปฏิบัติ)
1,2
อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุฒิพงศ์
   3,4
อ. ดร.พจ ธรรมพีร
   5,6
อ. ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์
13:00 – 16:00
5500272
ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาวิชา 2
1
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
712
13:00 – 16:00
5500272
ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาวิชา 2
2
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
713
13:00 – 16:00
5500272
ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาวิชา 2
3
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
714

 

 

วันพุธ

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
13:00 – 15:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
5
STAFF
(ปิดตอนเรียน)
08:00 – 10:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (ปฏิบัติ)
1
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
10:00 – 12:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (ปฏิบัติ)
2
STAFF
13:00 – 15:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (ปฏิบัติ)
3
STAFF
09:00 – 12:00
3800219
การออกแบบและวิเคราะห์เชิงสำรวจ
1-3
ผศ. ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา
จุฬาพัฒน์ 4
422
09:00 – 12:00
3800250
มนุษยสัมพันธ์
2
อ.อาภาพร อุษณรัศมี
จุฬาพัฒน์ 13
401
13:00 – 16:00
3800312
การปรับพฤติกรรม
1
รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต
จุฬาพัฒน์ 13
401
09:00 – 12:00
3800355
จิตวิทยาการลงความเห็นและการตัดสินใจ
1
รศ.สักกพัฒน์ งามเอก
จามจุรี 10
614
10:00 – 12:00
3804102
มูลสารจิตวิทยาพัฒนาการ
1
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
501
09:00 – 12:00
3805340
จิตวิทยาข้ามวัฒนธรรมและการทำงาน
1
อ. ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช
จุฬาพัฒน์ 13
712

 

 

วันพฤหัสบดี

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
09:00 – 12:00
3800250
มนุษยสัมพันธ์
3
ผศ. ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล
จุฬาพัฒน์ 4
421
09:00 – 12:00
3803379
จิตวิทยาสังคมความก้าวร้าว
1
ผศ. ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช
จุฬาพัฒน์ 13
609
09:00 – 12:00
3804231
จิตวิทยาวัยรุ่น
1
อ. ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล
จุฬาพัฒน์ 13
610
09:00 – 12:00
3805201
จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
1
ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล
จุฬาพัฒน์ 4
422
09:00 – 12:00
3805301
จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การขั้นนำ
1
13:00 – 16:00
3800202
จิตวิทยาในชีวิตและการทำงาน
1
ผศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี
จุฬาพัฒน์ 4
422
13:00 – 16:00
3808201
จิตพยาธิวิทยา
1-2
ศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์
จุฬาพัฒน์ 4
421
18:00 – 22:00
3804353
การกระตุ้นพัฒนาการขั้นนำ
1
รศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
614
13:00 – 16:00
5500112
ภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ในชีวิตจริง 2
159
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
712
13:00 – 16:00
5500112
ภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ในชีวิตจริง 2
160
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
713
13:00 – 16:00
5500112
ภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ในชีวิตจริง 2
161
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
714

 

 

วันศุกร์

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
08:00 – 10:00
3800219
การออกแบบและวิเคราะห์เชิงสำรวจ (ปฏิบัติ)
1
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
08:00 – 12:00
3802301
กระบวนการและทักษะการช่วยเหลือเชิงจิตวิทยาการปรึกษา
1
อ. ดร.วรัญญู กองชัยมงคล
จุฬาพัฒน์ 13
714
08:00 – 12:00
3802501
กระบวนการและทักษะการช่วยเหลือเชิงจิตวิทยาการปรึกษา
1
อ. ดร.วรัญญู กองชัยมงคล
0900 – 12:00
3804451
จิตวิทยาครอบครัวและชีวิต
1
อ. ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน
จุฬาพัฒน์ 13
713
10:00 – 12:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
6-7
STAFF
จุฬาพัฒน์ 5
302
10:00 – 12:00
3800219
การออกแบบและวิเคราะห์เชิงสำรวจ (ปฏิบัติ)
2
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
13:00 – 15:00
3800219
การออกแบบและวิเคราะห์เชิงสำรวจ (ปฏิบัติ)
3
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
13:00 – 16:00
3805300
จิตวิทยาบุคลากร
1
ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล
จุฬาพัฒน์ 4
422
13:00 – 16:00
3805309
จิตวิทยาบุคลากร
13:00 – 17:00
3800381
การประเมินทางจิตวิทยาคลินิก 1
1
ผศ. ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ
จุฬาพัฒน์ 4
421
13:00 – 17:00
3808311
การประเมินทางจิตวิทยาคลินิก 1

ห้องเรียนของรายวิชาคณะจิตวิทยา ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2565 ปริญญาโท – เอก

ห้องเรียนของรายวิชาคณะจิตวิทยา ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2565 ปริญญาโท – เอก

 

วันจันทร์

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
10:00 – 12:00
3802745
กลุ่มการเรียนรู้ระหว่างบุคคล 2
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
09:00 – 12:00
3800784
การวิจัยเชิงจิตวิทยา
1
อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุฒิพงศ์
ผศ. ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
09:00 – 13:00
3802645
เทคนิคกลุ่มในการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
1
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
13:00 – 16:00
3802796
การฝึกปฏิบัติงานขั้นต้นด้านการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
13:00 – 16:00
3802796
การฝึกปฏิบัติงานขั้นต้นด้านการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
2
อ. ดร.พูลทรัพย์ อารีกิจ
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
17:00 – 20:00
3810702
สัมมนาวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ 2
1
ผศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
18:00 – 21:00
3802797
การนิเทศแบบรายบุคคลสำหรับการฝึกปฏิบัติงานขั้นต้นด้านการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
1
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
614
18:00 – 21:00
3809603
ประเด็นร่วมสมัยเกี่ยวกับจิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการทำงาน
1
อ. ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
18:00 – 20:00
3804665
รูปแบบการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยาพัฒนาการ
1
รศ.สักกพัฒน์ งามเอก
ONLINE

 

 

วันอังคาร

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
09:00 – 12:00
3802785
สัมมนาจิตวิทยาการปรึกษา
1
ศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
13:00 – 16:00
3800702
สถิติสำหรับจิตวิทยา 2
1
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
13:00 – 15:00
3802741
กลุ่มการเรียนรู้ระหว่างบุคคล 1
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
16:00 – 20:00
3802775
การอบรมเชิงปฏิบัติการตามหลักจิตบำบัดแบบบุคคลเป็นศูนย์กลางและแบบพลวัต
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
18:00 – 21:00
3804667
สัมมนาหัวข้อคัดสรรทางจิตวิทยาสุขภาพ
1
อ. ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล
ONLINE
18:00 – 21:00
3809602
จิตวิทยาประยุกต์สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
1
อ. ดร.วิทสินี บวรอัศวกุล
ONLINE
10:00 – 12:00
3802779
แนวโน้มปัจจุบันในการวิจัยทางจิตวิทยาการปรึกษา
2
ผศ. ดร.ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602

 

 

วันพุธ

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
09:00 – 12:00
3802777
การอบบรมเชิงปฏิบัติการด้านการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแนวพุทธ
1
อ. ดร.วรัญญู กองชัยมงคล
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
18:00 – 21:00
3800717
หลักและการปฏิบัติในการปรับพฤติกรรม
2
รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
18:00 – 21:00
3802711
การปรึกษาเชิงจิตวิทยาตามแนวความคิดพุทธศาสตร์
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
ONLINE

 

 

วันพฤหัสบดี

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
09:00 – 12:00
3803803
เอกัตศึกษาในจิตวิทยาสังคม 3
1
อ. ดร.ภัคนันท์ จิตต์ธรรม
ONLINE
13:00 – 16:00
3803637
อารมณ์และปริชานทางสังคม
1
อ. ดร.อาดิ เช็คเค็ด
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
13:00 – 16:00
3803710
พลวัตของกลุ่ม
1
ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
16:30 – 19:30
3802662
การปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดตามแนวปัญญาพฤติกรรมนิยม
1
ผศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
18:00 – 21:00
3804727
การกระตุ้นพัฒนาการ
1
รศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
614
18:00 – 21:00
3809701
สัมมนาจิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการทำงาน
1
อ. ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
18:00 – 21:00
3810602
หัวข้อคัดสรรทางวิจัยจิตวิทยาประยุกต์
1
ผศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
ONLINE

 

 

วันศุกร์

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
18:00 – 21:00
3800702
สถิติสำหรับจิตวิทยา 2
2
รศ.สักกพัฒน์ งามเอก
ONLINE

ทำไมยิ่งโต ยิ่งดื้อ – วิธีการฝึกวินัยให้เจ้าตัวน้อย

ทำไมยิ่งโต ยิ่งดื้อ – วิธีการฝึกวินัยให้เจ้าตัวน้อย

 

 

“ทำไมยิ่งโต ยิ่งดื้อ” ประโยคนี้พ่อแม่หลายบ้านต้องเคยพูดมาแล้วใช่ไหมคะ จริง ๆ แล้ว คำว่า “ดื้อ” นั้น เป็นการแสดงพัฒนาการของเด็กอย่างหนึ่ง วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจ และหาวิธีรับมือกับเรื่องนี้กันค่ะ

 

ที่บอกว่าเป็นพัฒนาการของเด็ก เพราะว่าเด็กในวัย 1.5 ปี ขึ้นไป จะเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มเดินได้ เริ่มทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เด็กอยากทดลอง เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว และที่สำคัญเด็กจะเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้การจัดการอารมณ์ของเด็กไม่คงที่ ยิ่งพอโตขึ้นการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์รอบตัวที่เพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้เด็กต้องจัดการกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการต้องไปโรงเรียน การมีเพื่อนวัยเดียวกัน และการคาดหวังจากพ่อแม่ที่มากขึ้นตามวัย ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เด็กจะมีพฤติกรรมที่พ่อแม่หลายบ้านรู้สึกว่า ดื้อ เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์

 

Free photo i don't know what to do. exhausted young mom feeling tired while trying to stop her children from screaming and fighting at home

Image by tonodiaz on Freepik

 

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเด็กแต่เพียงฝ่ายเดียวค่ะ การเลี้ยงดูก็มีส่วนที่จะทำให้ดีกรีของพฤติกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละบ้านด้วย เช่น ถ้าบ้านไหนทนไม่ได้กับการร้องไห้ของเด็ก ให้เด็กทุกอย่างเมื่อเด็กร้องไห้ บ้านนั้นก็จะได้เด็กเจ้าอารมณ์ ขี้งอแง เพราะเด็กจะเรียนรู้จากวิธีที่ผู้ใหญ่ตอบสนองต่ออารมณ์ที่เขาแสดงออก และเจ้าตัวน้อยก็จะพัฒนาเชื่อมโยงเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้กับเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการนั่นเอง

 

ดังนั้นการสอนและฝึกวินัยให้กับเด็กจึงเป็นสิ่งที่ควรเริ่มทำตั้งแต่เด็ก บางบ้านมักบอกว่ายังเล็กอยู่เลย เดี๋ยวโตค่อยสอนก็ได้ แต่การฝึกวินัยให้ลูกตั้งแต่เด็กจะทำให้เด็กได้เรียนรู้การควบคุมตนเอง และเป็นการปลูกฝังให้เด็กมั่นใจว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ วัยที่เหมาะสมจะฝึกวินัยให้กับเด็กก็คือวัยอนุบาลไปจนถึงวัยประถม เพราะเด็กจะสามารถเรียนรู้จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ และพร้อมที่จะตัดสินใจเรื่องที่เข้ามาในชีวิต ท่ามกลางความปลอดภัยและการสนับสนุนที่พ่อแม่ยังคอยดูแลให้อยู่ รวมถึงเด็กต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ทำให้ยินยอมที่จะเรียนรู้และทำตามสิ่งที่พ่อแม่สอน หากปล่อยให้ไปถึงวัยรุ่นแล้วจะไม่ทัน เพราะในวัยนั้นเด็กจะเริ่มต้องการการยอมรับจากเพื่อนไม่ใช่พ่อแม่ ทำให้ยากที่จะฝึกวินัยให้เด็กแล้วค่ะ

 

 

 

เรามาดูวิธีที่จะสอนและฝึกวินัยให้ลูกกันค่ะ

 

 

1. กำหนดกฎเกณฑ์ให้ลูกอย่างเหมาะสมตามวัย และให้ลูกมีส่วนร่วมในการช่วยกำหนดกฎเกณฑ์นั้น

 

การเรียนรู้และทดลองต่าง ๆ ของเด็กสามารถทำได้โดยที่พ่อแม่ต้องตกลงกับลูกก่อนว่า ทำได้ในขอบเขตแค่ไหน และเพราะอะไร ทางที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน พ่อแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ให้คำอธิบายถึงข้อดี ข้อเสียของสิ่งที่จะเกิดขึ้น บอกกติกาอย่างชัดเจน เช่น ลูกสามารถเล่นในสนามเด็กเล่นได้อย่างอิสระ แต่ไม่ออกไปเกินพื้นที่ตรงไหน เพราะอะไร ที่สำคัญที่สุดอย่าใช้คำสั่ง การบังคับ และห้ามไม่ให้ทำ เพราะนั่นจะเป็นการท้าทายให้เด็กอยากจะทำมากยิ่งขึ้น เช่น การกำหนดให้เด็กเข้านอนตอน 2-3 ทุ่ม ควรมีการพูดคุยกับเด็กก่อนว่า หนูต้องนอนพักผ่อนเพื่อที่ตัวจะได้สูง ๆ หนูอยากเข้านอนตอน 2 ทุ่ม หรือ 3 ทุ่มคะ แม่ให้หนูเลือกเอง ซึ่งตัวเลือกที่จะให้เด็กเลือกนั้นควรระบุให้ชัดเจนค่ะ (เวลาตกลงกับเด็กอย่าให้เลือกว่า เอาหรือไม่เอา นะคะ เพราะพอเด็ก ๆ เลือกไม่เอา แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ให้ เด็กจะสับสนว่าแล้วให้เลือกทำไม ในเมื่อเขาเลือกแล้ว พ่อแม่ก็ไม่สนใจความต้องการของเขา)

 

2. ใช้คำพูดที่เป็นทางบวกและเข้าใจง่าย ในการสื่อสารความต้องการและอธิบายสิ่งต่าง ๆ กับเด็ก

 

คำว่า “อย่า…นะ” สำหรับเด็กเล็ก จะไม่เป็นผลเท่าที่ควร เพราะเด็กต้องแปลความหมายก่อน และมักจะไม่ทันกับการกระทำที่เด็กกำลังทำอยู่ เช่น การที่แม่บอกลูกว่า “อย่าวิ่งนะ อันตราย” กับการบอกลูกว่า “ลูกเดินข้าง ๆ แม่นะคะ แม่อยากให้หนูเดินเป็นเพื่อนแม่” ประโยคแรกเด็กต้องแปลความหมาย ในขณะที่ประโยคหลังเด็กสามารถเข้าใจได้ทันทีเมื่อได้ยิน ในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ กับเด็กก็เช่นกัน หากเราใช้คำที่ง่าย (แต่ต้องเป็นความจริง อย่าหลอกเด็ก) เด็กจะสามารถเข้าใจได้ตามวัยของเขาค่ะ

 

3. คุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้ลูกอย่างสม่ำเสมอ

 

เด็ก ๆ มักจะเลียนแบบตัวอย่างที่อยู่ใกล้ตัวค่ะ ดังนั้นพ่อแม่จึงเป็นต้นแบบที่เด็กสามารถเห็นได้ตลอดเวลา ถ้าอยากให้เด็กเป็นอย่างไร ทำให้ลูกดูคือสิ่งที่ง่ายที่สุดค่ะ และที่สำคัญควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เด็กยอมรับและจดจำได้ เช่น อยากให้เด็กไหว้ทักทายผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องไหว้ทักทายคนอื่น ๆ ให้เด็กเห็นเป็นประจำ

 

4. ให้ลูกรู้จักรอคอย

 

การตอบสนองความต้องการของเด็กอย่างรวดเร็วเกินไปจะทำให้เด็กคอยไม่เป็น อยากได้อะไรต้องได้ทันที พ่อแม่จึงควรฝึกให้เด็กรู้จักรอคอย เช่น “หนูอยากกินขนมที่ซื้อมาเมื่อวานใช่ไหมคะ รอแม่ทำกับข้าวเสร็จแล้วแม่ไปหยิบให้นะคะ” หรือแม้แต่การพาเด็ก ๆ ไปต่อคิวซื้ออาหาร ต่อคิวจ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อ ก็เป็นการฝึกการรอคอยที่ดีค่ะ นอกจากนี้การซื้อของเล่นให้เด็กตามวาระโอกาสที่เหมาะสม ก็สามารถฝึกการรอคอยได้เช่นกันค่ะ เช่น ตกลงกับเด็กว่าจะซื้อของเล่นให้ในโอกาสวันเกิด วันปีใหม่ วันเด็ก เท่านั้น หากอยากได้ของเล่นในโอกาสอื่น ๆ จะต้องมีข้อตกลง เช่น เก็บดาวความดีที่แม่ให้ครบ … ดวง จึงจะซื้อของเล่นพิเศษได้ 1 ชิ้น เป็นต้น

 

5. ปฏิบัติกับเด็กด้วยการยอมรับความต้องการ เข้าใจ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

 

เด็กต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ค่ะ ดังนั้นการรับฟังเด็กว่าเขารู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร แล้วพูดคุยกันด้วยเหตุผลว่าเหตุใดจึงได้ เหตุใดจึงไม่ได้ จะช่วยให้เด็กรับรู้ว่าพ่อแม่รับฟังเขา ยอมรับความต้องการของเขา การเอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ ก็จะลดลง (ถึงจะไม่ได้อย่างที่ต้องการก็ตาม) แต่ที่สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องปฏิบัติกับเด็กให้เหมือนกันค่ะ เช่น ถ้าคุณแม่บอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้นะคะ คุณพ่อก็ต้องตอบเหมือนกัน เพราะถ้าคนหนึ่งไม่ให้ คนหนึ่งใจอ่อนให้ เด็กจะไม่เกิดการเรียนรู้ว่าสิ่งใดได้ สิ่งใดไม่ได้ การสอนก็จะไม่ได้ผล

 

 


 

บทความโดย

เวณิกา บวรสิน

ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ คณะจิตวิทยา

 

 

Event Photo Gallery: Special Talk “Growth mindset and academic engagement”

Event Photo Gallery:

 

Special Talk:

“Growth mindset and academic engagement:
How cultural context inspires new theories and practices.”

 

The speaker:

Professor Chi-yue Chiu

Dean of Social Science, Choh-Ming Li Professor of Psychology, Chinese University of Hong Kong

 

On Friday, December 23th, 2022
Time 10.30 am. – 12.00 pm.
At room 614, 6th floor, Boromarajonani Srisatapat Building, Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Emotion regulation: managing our Emotions

Emotion regulation: managing our Emotions

 

We experience emotions, such as happiness, fear, sadness, and anger, in response to significant events in our lives. Emotions often help us appropriately respond to our surroundings and add color and meaning to our experiences. But emotions can also cloud our judgment when we need to make important decisions, distract us from work, interfere with our relationships, and motivate us to behave in ways we later regret. In these circumstances we may want to influence the way we feel.

 

Emotion regulation refers to ways to control or manage which emotions we feel, when we feel them, and how intensely we feel them (Gross, 2002). This article provides you with 1) an accessible introduction to emotion regulation and 2) basic tools for thinking about and improving your emotional experiences.

 

 

How do we regulate our emotions?


 

The most influential and practical way to think about and classify emotion regulation strategies is based on James Gross’s process model (Gross, 2002). The process model classifies emotion regulation strategies based on where they occur within an emotional experience. We can think of emotional experience as consisting of 4 parts: situation (something happens), attention (we notice specific aspects of the situation), an appraisal (we interpret the situation in terms of how the situation affects us), and a response (we react to the situation).

 

For example, imagine your relative from out of town who is staying with you for the week leaves his clothes and belongings everywhere. The situation is the mess your relative made, you noticed the mess, you interpreted the situation as unfair and inconsiderate, and you may choose to react by complaining loudly.

 

In this scenario, many of us would react by expressing our anger. Releasing an emotion, whether by yelling or hitting a pillow in frustration, is known as catharsis. Catharsis has a long history in psychotherapy and makes intuitive sense, but research suggests that catharsis has negative consequences including intensifying negative feelings (e.g. Kraemer & Hastrup, 1988) and damaging relationships (e.g. Jerome & Liss, 2005). What are your other options?

 

 

Situation-focused strategies

 

Situation-focused strategies are simple and effective ways to influence emotions through their situational causes. We can seek situations that make us feel good and avoid situations that make us feel bad (Gross, 2001). To avoid getting mad at the relative, you can look for something to pleasant to do to give yourself time to cool down and your relative time to clean up. Selecting situations is most effective when an unpleasant situation has no foreseeable costs, but unpleasant situations may offer long-term opportunities or simply be unavoidable. Habitually avoiding bad situations prevents us from learning to cope with life’s difficulties.

 

Alternatively, we can change the situation to make it more pleasant, or at least less unpleasant. If your relative’s mess is upsetting, you can start cleaning the dishes and talk about the situation later. In studies, people who frequently use this strategy, known as situation modification, enjoy better physical and psychological health than the average person (Penley, Tomaka, & Wiebe, 2002). While situation modification is most effective when we have some control over a situation, we benefit from merely trying to change the situation (e.g. Salomons et al, 2007).

 

 

Cognition-focused strategies:

 

If we cannot choose or change an unpleasant situation, we can employ cognition-focused strategies where we think about the situation differently.
One approach is to focus our attention elsewhere. Even focusing on an irrelevant aspect of a distressing situation, e.g. what people are wearing, can distract us from emotional aspects of a situation and change the way we feel (e.g. Ayduk, Mischel, & Downey, 2002).

 

Another option is to think about the situation in a different way, i.e., to reappraise it. For example, you can interpret your relative’s mess as a reminder that you get to spend time with your relative. Reappraisal is best used when we cannot change the situation causing the emotion. Reappraisal can cause long-term harm if we rely on positive thinking as a substitute for trying to improve changeable situations (Troy, Shallcross, & Mauss, 2013).

 

 

Response-focused strategies:

 

Sometimes we find ourselves experiencing an undesirable and unpleasant situation and it is too late to change or think differently about the situation. Under these circumstances, we can change our behavioral response to the event.

 

If we are in a public situation and we are worried about exhibiting undesirable behavior, we can try to suppress (hide) our emotions (e.g. Gross & Levenson, 1997). While others typically cannot tell when we hide our emotions, doing so can be exhausting.

 

If we want to change our feelings rather than our behavior, relaxation techniques and meditation are effective ways to reduce the intensity of our feelings. As an added benefit, frequently practicing these techniques can reduce the intensity of future negative feelings (Goyal et al, 2014).

 

 

Concluding remarks

 

We are not helpless in the face of negative emotions. While the best way to respond to unpleasant situations varies from person to person and situation to situation, emotion regulation is a skill. With practice, we can improve at emotion regulation and enhance our mental and physical health.

 

 


 

 

References

 

Ayduk, O., Mischel, W., & Downey, G. (2002). Attentional mechanisms linking rejection to hostile reactivity: The role of “hot” versus “cool” focus. Psychological science, 13(5), 443-448. https://doi.org/10.1111/1467-9280.00478

 

Gross, J. J. (2001). Emotion regulation in adulthood: Timing is everything. Current directions in psychological science, 10(6), 214-219. https://doi.org/10.1111/1467-8721.00152

 

Goyal, M., Singh, S., Sibinga, E. M., Gould, N. F., Rowland-Seymour, A., Sharma, R., … & Haythornthwaite, J. A. (2014). Meditation programs for psychological stress and well-being: a systematic review and meta-analysis. JAMA internal medicine, 174(3), 357-368. https://doi.org/10.1001/jamainternmed.2013.13018

 

Gross, J. J. (2002). Emotion regulation: Affective, cognitive, and social consequences. Psychophysiology, 39(3), 281-291. https://doi.org/10.1017/S0048577201393198

 

Gross, J. J., & Levenson, R. W. (1997). Hiding feelings: the acute effects of inhibiting negative and positive emotion. Journal of abnormal psychology, 106(1), 95. https://doi.org/10.1037/0021-843X.106.1.95

 

Jerome, E. M., & Liss, M. (2005). Relationships between sensory processing style, adult attachment, and coping. Personality and individual differences, 38(6), 1341-1352. https://doi.org/10.1016/j.paid.2004.08.016

 

Kraemer, D. L., & Hastrup, J. L. (1988). Crying in adults: Self-control and autonomic correlates. Journal of Social and Clinical Psychology, 6(1), 53. https://doi.org/10.1521/jscp.1988.6.1.53

 

Penley, J. A., Tomaka, J., & Wiebe, J. S. (2002). The association of coping to physical and psychological health outcomes: A meta-analytic review. Journal of behavioral medicine, 25(6), 551-603. https://doi.org/10.1023/A:1020641400589

 

Salomons, T. V., Johnstone, T., Backonja, M. M., Shackman, A. J., & Davidson, R. J. (2007). Individual differences in the effects of perceived controllability on pain perception: critical role of the prefrontal cortex. Journal of cognitive neuroscience, 19(6), 993-1003. https://doi.org/10.1162/jocn.2007.19.6.993

 

Troy, A. S., Shallcross, A. J., & Mauss, I. B. (2013). A person-by-situation approach to emotion regulation: Cognitive reappraisal can either help or hurt, depending on the context. Psychological science, 24(12), 2505-2514. https://doi.org/10.1177/0956797613496434

 

 


 

Author

 

Dr. Adi Shaked
Lecturer in Social Psychology Area

 

เมื่อต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก

เมื่อต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก

: ทำความเข้าใจภาวะของจิตใจยามสูญเสีย

 

 

เราต่างคงมีใคร หรือมีอะไร เช่น สิ่งของ หรือสถานที่ ให้เราได้คิดถึงนะคะ ความคิดถึงนั้นแบ่งง่าย ๆ ได้เป็นสองแบบค่ะ คือ คิดถึงแล้วใจฟู กับ คิดถึงแล้วใจแฟ่บ

 

ความคิดถึงแบบใจฟู ก็คือการคิดถึงสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ โดยที่เรายังรู้อยู่ในใจว่า สิ่งที่เราคิดถึงนั้นยังอยู่ใกล้ ๆ ให้เราไปหา ให้เราไปเจอ สมกับความคิดถึงที่เรามี เช่น เมื่อเราออกจากบ้านมาโรงเรียน แล้วเราคิดถึงเจ้าลูกสุนัขตัวน้อย ขนสีขาวฟูของเรา พอคิดถึงอย่างนี้ ก็มีความสุข เพราะเดี๋ยวตอนเย็นหลังเลิกเรียน ก็ได้กลับไปเจอกัน หรือเวลาสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกัน ตอนเช้าต่างคนต่างก็ออกไปทำงาน ระหว่างวันอาจมีการนึกถึงกันด้วยความคิดถึง ความคิดถึงประเภทนี้ เป็นความคิดถึงที่ทำให้ใจเราฟู มีความสุขได้

 

ส่วนความคิดถึงประเภทที่สอง เป็นความคิดถึงที่เกิดขึ้นมาแล้วใจเราแฟ่บลง ความคิดถึงแบบนี้ก็มาจากการที่เราคิดถึงสิ่งที่เรารัก เราผูกพันเช่นเดียวกัน แต่ทว่าเมื่อเราคิดถึงคน คิดถึงสิ่งของ คิดถึงสถานที่เหล่านั้นแล้ว เราไม่มีโอกาสจะได้พบ ได้ไป ได้เห็นสิ่งที่เราคิดถึงอีก

กล่าวง่าย ๆ คือ ความคิดถึงแบบนี้ มีคำตามหลังพ่วงมาด้วยว่า คิดถึง แต่ไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว

 

ยิ่งคิดถึงมาก ก็ยิ่งทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่ามาก แล้วคำตอบที่ตามหลังมา ก็ยิ่งทำให้ใจแฟ่บ ห่อเหี่ยวลงไปได้มากยิ่งกว่า เมื่อเรารู้ว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามมานี้ เป็นความรู้สึกที่ตระหนักได้ชัดถึงการเสียไปแล้วซึ่งของรักของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเสียแบบขาดจากกันด้วยอีกฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว หรือเป็นการเสียแบบขาดจากการด้วยการไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกันแล้วก็ตาม

 

ความรู้สึกที่ตามมาจาการเสียของรักนี้ บางครั้งเราเรียกมันได้ว่า “ความโศกเศร้า“

 

หากเราจะสรุปง่ายๆ ว่า ใจที่แฟ่บ หรือ ความโศกเศร้า ก็เป็นการตอบสนองแบบหนึ่งของคนเราต่อความสูญเสีย โดยความความเศร้าโศกนี้คนเราสามารถแสดงออกมาได้ทั้งทางพฤติกรรมภายนอกให้เห็น เช่น ร้องไห้ฟูมฟาย เหม่อลอย หรือเป็นพฤติกรรมภายในเช่น ความรู้สึกหวนหา คิดย้อนระลึกถึงวันคืนเก่า

 

ในการแสดงออกทั้งภายในและภายนอกบุคคลดังกล่าว คนเราแต่ละคนก็จะมีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป

 

นักจิตวิทยาได้มีการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกโศกเศร้านี้มากมาย เพื่อเข้าใจความรู้สึกที่คนเราจะต้องเผชิญเมื่อต้องเสียของรักค่ะ สิ่งที่น่าสนใจคือ มีนักจิตวิทยากล่าวถึง ระยะของความเศร้าโศก โดยการทำความเข้าใจระยะของความเศร้าโศกนี้ จะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวเตรียมใจว่าเราจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เมื่อเราอาจต้องเสียของรักไป นอกจากนี้ยังจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจคนที่อยู่รอบตัวเรา เมื่อเขาต้องเสียของที่เขารักไปได้เช่นกัน

 

 

ระยะของความเศร้าโศกนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ระยะ

คือ

  1. ระยะของการไม่ยอมรับ
  2. ระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริง
  3. ระยะของการยอมรับความจริง และ
  4. ระยะของการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

 

 

เรามารู้จักกับระยะแรกของความโศกเศร้าก่อนนะคะ

 

 

ระยะแรกที่นักจิตวิทยาเรียกว่า เป็น ระยะของการไม่ยอมรับ นี้ เป็นช่วงต้นที่บุคคลเริ่มรับรู้ถึงการสูญเสีย การพลัดพรากที่เกิดขึ้น เมื่อเราต้องพรากจากสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากให้อยู่กับเราไปนาน ๆ ปฏิกริยาตอบสนองแรกที่ย่อมจะเกิดขึ้นก็คือ การพยายามไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย เช่น บางคนเมื่อคนรักมาตัดรอน บอกเลิก ก็อาจจะแสดงออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ยอมรับว่าเราสองคนจบกันแล้ว แสดงตัวประหนึ่งว่ายังรักกันเช่นเดิม

 

นักจิตวิทยาก็ได้อธิบายว่า พฤติกรรมทั้งภายนอกภายในที่บุคคลแสดงในขั้นนี้ เป็นพฤติกรรมที่แสดงมาจากความไม่เชื่อ ไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย บางคนอาจจะมีการใช้วิธีที่เรียกว่า กลวิธีการยืดเวลา คือ พยายามขยายเวลาออก ให้ช่วงเวลาของการที่ไม่ต้องยอมรับและเผชิญกับความจริงนานออกไปเรื่อย ๆ เช่น เมื่อชายหนุ่มทราบว่า หญิงสาวที่ตนรักเป็นอื่นไปแล้ว เขากลับพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม เหมือนตอนที่ยังรักกันดีอยู่ ไม่ยอมรับกับความจริงว่าหญิงสาวนั้น ได้จบความสัมพันธ์กับเขาแล้ว

 

การไม่ยอมรับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการความเศร้าโศก ที่จะช่วยให้บุคคลมีเวลาสำหรับฟื้นความรู้สึก และช่วยให้บุคคลมีเวลาในการเตรียมความพร้อมเพื่อทำใจยอมรับความจริง ว่าเราได้สูญเสียสิ่งที่รักไปแล้วนั่นเอง เมื่อการยืดเวลา การไม่ยอมรับสิ้นสุดลง บุคคลจะเริ่มยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย และจะเข้าสู่ระยะต่อไปของการสูญเสียค่ะ

 

ระยะที่สอง ระยะของการเริ่มยอมรับความจริง

 

เนื่องจากแม้ใจเราอยากจะปฏิเสธความจริงเท่าใดก็ตาม ว่าสิ่งที่เรารักยังอยู่กับเรา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น หากความจริงภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ก็เข้ามากระทบ มาย้ำให้เรารับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราเสียของรักไปแล้ว เมื่อมีความจริงมาปรากฏตรงหน้าเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง คนเราก็จะหันหน้ามาเผชิญกับความจริงว่าเราได้เสียของรักไปแล้วจริง ๆ

 

ในตอนต้นของการยอมรับนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือความรู้สึกเจ็บปวด อาจถึงขั้นเจียนใจจะขาดลงเสียให้ได้ เพราะต้องมายอมรับกับความจริงว่าต้องสูญเสียสิ่งที่เราไม่อยากให้สูญเสีย หากเราก็ต้องค่อย ๆ ขยับใจให้มายอมรับกับความจริงที่แม้จะเจ็บปวดเช่นนี้ เพราะมันก็คือความจริง ซึ่งเราจะสามารถผ่านพ้นความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไปได้สักวันอย่างแน่นอน ความรู้สึกเจ็บปวดในใจที่เกิดขึ้นจากการเริ่มต้นยอมรับความจริงนี้เป็นอาการเบื้องต้นที่จะเกิดขึ้น บุคคลอาจแสดงออกถึงความเจ็บปวดที่ตนได้รับผ่านการร้องไห้คร่ำครวญ บางครั้งอาจมีการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย บ้างก็อาจมีการคิดหมกมุ่นถึงสิ่งที่เราเสียไป ใจกลับไปคิดทบทวนถึงแต่เรื่องเก่า ๆ ที่เคยผ่านมา

 

หากการสูญเสียของรักของเราเป็นการสูญเสียที่รุนแรงที่สุด คือ การจากกันเพราะอีกฝ่ายไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ในระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริงนี้ บุคคลที่สูญเสียยังอาจมีการแสดงความโกรธ เนื่องจากความผิดหวังที่เกิดขึ้นจากความหวังว่าผู้เราต้องสูญเสียจะยังมีชิวิตอยู่ หรือมีความโกรธต่อผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการสูญเสียของเรา เมื่อบุคคลเข้าสู่ระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริง แม้ในระยะนี้บุคคลอาจจะมีอารมณ์รุนแรง เนื่องจากความจริงที่แสนจะเจ็บปวดนี้ แต่บุคคลก็จะพร้อมที่จะก้าวไปสู่ระยะต่อไปในที่สุดค่ะ

 

 

 

ระยะที่สาม ระยะของการยอมรับความจริง

 

คือ ระยะที่คนเราจะมีการตระหนักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยการยอมรับความจริงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับ เช่นว่าวันนี้ยังมีความโกรธต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ร้องไห้ฟูมฟาย แล้ววันรุ่งขึ้นอยู่ ๆ ก็จะยอมรับความสูญเสียได้ การเปลี่ยนแปลงนี้บุคคลจะค่อย ๆ ตระหนักถึงความสูญเสีย และยอมรับว่าความสูญเสีย การพรากจากของรักของตนนั้นได้เกิดขึ้นจริงแล้ว

 

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากการตระหนักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นความเสียใจอย่างสุดซื้ง เพราะสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราผูกพัน ย่อมเป็นสิ่งที่เราพึงใจ มีความสุขกับสิ่งนั้น อยากให้มีสิ่งนั้นอยู่กับเราตลอดไป เมื่อต้องมาเผชิญกับความจริงว่าเราไม่มีโอกาสมีสิ่งที่เราพึงใจ อยากมีมันตลอดไปแล้ว ความรู้สึกเศร้า เสียใจอย่างสุดซึ้งย่อมจะเกิดขึ้นตาม โดยในบางครั้งอาจมีความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง มีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่อยากทำอะไร หมดแรง หมดกำลังใจ หมดความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต

 

อารมณ์เหล่านี้บางครั้งอาจส่งผลตามมาต่ออาการทางกายของเราด้วยนะคะ บางทีอาจเกิดอาการนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร พอทราบเช่นนี้แล้วบางท่านอาจคิดในใจว่า อย่างนี้การยอมรับความจริงก็ไม่ดีเลย มีสารพัดอาการของความไม่สบายใจ ไม่สบายกายที่จะเกิดขึ้นได้ ดิฉันอยากเรียนให้ทราบว่าการยอมรับความจริงนี้เป็นสิ่งดีค่ะ ยิ่งเรายอมรับแบบเห็นจริง ยอมรับว่าเราจะไม่มีสิ่งที่เราเคยรัก เคยผูกพันอยู่แล้ว

 

สารพัดอาการทางใจและทางกายที่เกิดขึ้น เป็นกลไกของมนุษย์ที่พยายามเหนี่ยวรั้งให้สิ่งที่รักอยู่กับตัวเราให้นานที่สุด เมื่อไม่ได้สิ่งที่รักอยู่กับเราแน่ ๆ แล้ว ใจของเราก็ยากที่จะยอมรับมันโดยง่าย แม้จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกตัวได้แล้วว่า ไม่มี ไม่มีแล้วจริง ๆ แต่สิ่งที่เป็นความคาดหวังในตัวเราต่างหากละคะที่จัดการได้ยาก

 

การที่เราไม่เห็นว่าตัวเราทุกข์ เศร้าใจ หมดแรงใจ หมดแรงกาย ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวเราค่ะ ถ้าเราไม่เห็นมันเราก็จะไม่สามารถจัดการกับมันได้ แต่เมื่อเราได้เห็นมัน หรือมันปรากฏขึ้นมาชัดเจน เราย่อมสามารถจัดการกับมันได้ และเราก็จะผ่านระยะของการยอมรับความจริงนี้ไปได้ ไปสู่ระยะสุดท้ายของความเศร้าโศกได้

 

กว่าจะเดินทางมาถึงระยะสุดท้ายนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะคะ

 

บุคคลจะต้องต่อสู้กับสารพัดความรู้สึกที่เราได้รับทราบกันไปข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการหนีจากความรู้สึก หรือความจริงที่ต้องเผชิญ อารมณ์เจ็บปวดเสียใจ อารมณ์เศร้า หวนหา อยากให้มีสิ่งที่รักอยู่กับตัวเรา แต่ทุกความรู้สึกที่ยากลำบาก ล้วนแต่เป็นเหมือนกับก้อนหินแต่ละก้อนที่ช่วยให้เรารู้จักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต และก้าวข้ามมาสู่ก้อนหินก้อนสุดท้ายก่อนจะข้ามถึงฝั่งนั้นก็คือ การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ค่ะ

 

การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือการที่บุคคลที่ต้องสูญเสียหรือพรากจากของที่รัก สามารถเริ่มที่จะปรับตัวเอง และจัดระบบระเบียบในการดำเนินชีวิตใหม่ ปรับบทบาทของตนเองใหม่ ให้เข้ากับการที่ต้องอยู่โดยไม่มีของรักนั้นแล้ว

 

ดูเหมือนไม่มีอะไรซับซ้อนนะคะ แต่ความจริงแล้วในบางคนกว่าจะเดินมาถึงขั้นสุดท้ายนี้ได้ อาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี หรือบางคนอาจต้องพยายามเดินแล้วเดินอีกก็ยังไม่ถึง การที่เราจะสามารถปรับตัวเองและกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับใจของเราเป็นหลักค่ะ คนรอบตัวอย่างมากก็เป็นได้เพียงกำลังใจ ซึ่งกำลังใจนี้อาจช่วยให้เรามีแรงมากขึ้นที่จะพยายาม แต่คนที่ต้องพยายามก็คือตัวเราเองอยู่ดี

 

การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยจิตใจของเราได้ว่า เราไม่มีสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราพึงใจแล้ว และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เกิดขึ้นจริง ๆ เราสามารถเสียใจ ร้องไห้ ซึมเศร้า แต่ไม่ว่าเราจะรู้สึกเท่าไร สิ่งที่เรารักก็จะไม่ได้กลับมาแล้ว แม้ว่าความจริงจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวด แต่การยอมรับความจริงนั้นอย่างหมดหัวใจ ก็เป็นหนทางเดียวที่เราจะกลับมาสู่ภาวะปกติของตัวเราได้ค่ะ

 

 

 

 

สิ่งที่ยากก็คือการยอมรับความจริง แต่ดิฉันมีหลักง่าย ๆ ที่หลายท่านคงจะคุ้นเคยกันมาบ้าง ที่จะช่วยให้เราปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้ นั่นก็คือ หากเรายอมรับได้ว่า “สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเราไม่มีอะไรอยู่กับเราอย่างถาวรเลย มันมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เป็นกฎของธรรมชาติ เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนกฎของธรรมชาติได้”

 

เมื่อวานร้อน พรุ่งนี้อาจจะมีฝนตก สิบปีที่แล้วเราเป็นเด็กน้อย ตอนนี้เราโตมาเป็นนักศึกษา การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในทุกสิ่งรอบตัวเรา ดังนั้นวันหนึ่งเรามีคนที่เรารัก เราผูกพัน ในอีกวันหนึ่งก็ย่อมจะไม่มีได้ เพราะ การเปลี่ยนแปลงเป็นกฎของธรรมชาติ หากเราสามารถเริ่มต้นมองการเปลี่ยนแปลง การต้องพรากจากสิ่งที่รักว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติแล้ว เราก็สามารถค่อย ๆ ยอมรับความจริงอย่างหมดหัวใจ

 

แน่นอนค่ะว่าสิ่งที่รัก ที่ผูกพัน ขาดหายไป เราย่อมมีความทุกข์ใจ ทุกข์กายเกิดขึ้น แต่หลักธรรมชาติที่เราเข้าใจนี้ จะช่วยให้เรากลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็ว แล้วยอมรับกับสิ่งที่เกิดได้ค่ะ

 

 

หากท่านใดพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดประสบความยากลำบากในการก้าวผ่านความโศกเศร้าจากการสูญเสีย คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาทั้งแบบรายบุคคลและกลุ่ม ที่ศูนย์สุขภาวะทางจิต โดยมีเวลาทำการในวันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 9.00 -17.00 น. หมายเลขโทรศัพท์ 061-736-2859 รวมทั้งสามารถติดต่อได้ทาง E-mail ที่ wellness.chula@gmail.com หรือ Facebook : ศูนย์สุขภาวะทางจิต

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

แขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คณะจิตวิทยาร่วมหารือกับคณาจารย์จาก UNIVERSITI TUNKU ABDUL RAHMAN

 

คณาจารย์จาก UNIVERSITI TUNKU ABDUL RAHMAN (UTAR) ประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วย

 

  1. Tan Chee Seng, Ph.D. ประธานการประชุม
  2. Nurul Iman Binti Abdul Jalil, Ph.D. Chairperson, Centre for Applied Psychology
  3. Mr. Pheh Kai Shuen Head of Programme, BSocSc (Hons) Guidance and Counselling
  4. Mr. Tan Soon Aun Head of Programme, Master of Industrial and Organizational Psychology

 

ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ รองคณบดี และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้ช่วยคณบดี ถึงแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสถาบัน เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ทางออนไลน์

 

 

 

Graduation Celebration for JIPP10 & JIPP9

 

วันที่ 14-16 ธันวาคม 2565 คณบดีคณะจิตวิทยา ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ และผู้ติดตาม ประกอบด้วย รองคณบดี ผศ.ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ ผู้ช่วยคณบดี ผศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้อำนวยการหลักสูตร JIPP อ. ดร.พจ ธรรมพีร ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาปริชาน อ. ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์ และ หัวหน้างานบริการการศึกษาและวิรัชกิจ คุณกรินทร์ วิลาวรณ์ ได้เดินทางไปร่วมแสดงความยินดีกับนิสิต JIPP รุ่น 10 และรุ่น 9 ในพิธีมอบปริญญาบัตรของ School of Psychology, Faculty of Health and Behavioural Sciences, University of Queensland ณ เมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย

 

ในโอกาสนี้คณาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังได้ร่วมหารือกับ Prof. Virginia Slaughter, Head of School of Psychology และ Assoc. Prof. Philip Grove ในเรื่องความร่วมมือด้านวิชาการ อาทิ การปรับหลักสูตร และการขยายความร่วมมือแลกเปลี่ยนนิสิตระดับปริญญาตรีและระดับปริญญาโท อีกทั้งได้ประชุมร่วมกับ Prof. Jolanda Jetton, incoming Head of School ในเรื่องการขยายความร่วมมือด้านการวิจัย และการจัดประชุมวิชาการระดับนานาชาติ (International conference) ร่วมกันในปี 2023

 

นอกจากนี้ คณาจารย์คณะจิตวิทยา ได้พบปะพูดคุยกับนิสิต JIPP รุ่น 11 ที่อยู่ในระหว่างการศึกษาที่ University of Queensland อีกด้วย

 

 

Fixed and growth mindset – กรอบความคิดแบบยึดติด-เติบโต

 

 

 

กรอบความคิดแบบยึดติด-เติบโต มีรากฐานมาจากทฤษฎีบุคลิกภาพด้านความคิด ว่าบุคคลมีการตอบสนองอยู่ 2 ประเภท คือ แบบช่วยตนเองไม่ได้ (helpless) และ แบบเน้นการเรียนรู้ (mastery orientation)

 

บุคคลที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ใด ๆ แบบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มักหลีกหนีปัญหาเมื่อเจออุปสรรค ส่วนการตอบสนองแบบเน้นการเรียนรู้จะเผชิญกับปัญหาแม้เจออุปสรรค ซึ่งความแตกต่างกันในแต่ละบุคคลและได้พัฒนาต่อมาเป็นทฤษฎีความเชื่อส่วนบุคคลหรือหรือกรอบความคิดแบบยึดติด-เติบโต

 

คนที่มีความเชื่อว่าความฉลาด ความสามารถ เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรียกว่าเป็นคนมีกรอบความคิดแบบยึดติด (fixed mindset) ส่วนคนที่เชื่อว่าความฉลาด ความสามารถ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และคนเราสามารถฉลาดหรือเก่งขึ้นได้โดยใช้ความพยายามกับสิ่งนั้น เรียกว่กรอบความคิดแบบเติบโต (growth mindset)

 

ผู้มีกรอบความคิดแบบยึดติดจะมีเป้าหมายยึดติดกับผลลัพธ์ ซึ่งเน้นการพิสูจน์ตนเองเพื่อให้ได้รับคำชมและหลีกเลี่ยงคำตำหนิ ส่วนผู้มีกรอบความคิดแบบเติบโตจะมีเป้าหมายแบบมุ่งเน้นการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เน้นการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกัน

 

คนที่มีมองว่าความสามารถปรับเปลี่ยนได้ นอกจากจะพัฒนาตนเองได้ดีกว่า ยอมรับคำแนะนำมากกว่า ยอมรับคนอื่นได้มากกว่า มีแนวโน้มในการต้องการคนยกย่อง สรรเสริญน้อยกว่า และทำงานที่ท้าทายได้มากกว่าคนที่มีกรอบความคิดแบบยึดติด

 

อย่างไรก็ดี ข้อเสียของผู้มีกรอบความคิดแบบเติบโต คือ เมื่อบุคคลทำสิ่งใหม่ ๆ แล้วพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ก็ยังไม่สำเร็จ เขาจะรู้สึกแย่มากกว่าคนที่มีกรอบความคิดแบบยึดติด อีกทั้ง เมื่อเขามองตนเองว่าพยายามจึงจะสำเร็จ เขาก็จะคาดหวังในคนอื่นพยายามด้วย ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาในความสัมพันธ์เพราะเขาจะคิดว่าคนอื่นพยายามไม่พอ นอกจากนี้ ผู้มีกรอบความคิดแบบเติบโตมักมองไปในอนาคต แต่ผู้มีกรอบความคิดแบบยึดติดมักอยู่กับปัจจุบันมากกว่า

 

กรอบความคิดแบบยึดติด-เติบโต มีพื้นฐานจากความเชื่อ ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เราได้รับ โดยที่เราสามารถเปลี่ยนกรอบความคิดในช่วงไหนของชีวิตก็ได้เพื่อที่จะประสบความสำเร็จและได้รับความพึงพอใจ ทั้งนี้คนที่มีกรอบความคิดแบบยึดติดในเรื่องหนึ่ง อาจมีกรอบความคิดแบบเติบโตในอีกเรื่องหนึ่งได้

 

*****************

 

ข้อมูลจาก

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างการควบคุมในงานและความพึงพอใจในงาน โดยมีรูปแบบการเผชิญปัญหาเป็นตัวแปรส่งผ่านและกรอบความคิดแบบยึดติด-เติบโตเป็นตัวแปรกำกับ” โดย ภัทรพร กังวานพรชัย (2559) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/52349