การกล่าวโทษเหยื่อ – Victim Blaming

13 Nov 2025

คำศัพท์จิตวิทยา

 

การกล่าวโทษเหยื่อ คือ พฤติกรรมของบุคคลที่มองว่าเหยื่อของอาชญากรรม ความรุนแรง หรือการทารุณกรรม มีส่วนผิดหรือมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวของพวกเขา หรือแนวคิดที่มองว่าเหยื่อต้องทำบางอย่างที่ผิดหรือไม่เหมาะสมจนทำให้ตนเองต้องตกเป็นเหยื่อ โดยมักมุ่งเน้นการแต่งกายของผู้ถูกกระทำ พฤติกรรม สถานที่ที่ไป และวิถีชีวิตของเหยื่อในด้านต่าง ๆ

 

การกล่าวโทษผู้ถูกกระทำว่าเป็นต้นเหตุหรือมีส่วนให้เกิดภัยอันตรายขึ้นแก่ตนด้วยตนเองนั้น สะท้อนแนวคิดถึงเหยื่อในอุดมคติ (ideal victim) หรือการกำหนดกรอบทางสังคมเกี่ยวกับลักษณะที่สมควรเป็นของผู้ถูกกระทำ เป็นภาพจำทางสังคมที่กำหนดกรอบของผู้ถูกกระทำหรือผู้ตกเป็นเหยื่อด้วยลักษณะต่าง ๆ ที่ผู้คนให้การตัดสินว่าเป็นลักษณะของผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ

 

นิลส์ คริสตี นักสังคมวิทยาชาวนอรเวย์ได้เขียนถึงความคาดหวังต่อผู้ถูกกระทำว่ามีลักษณะตามเงื่อนไข 5 ประการ ที่ทำให้เหยื่อคนหนึ่งได้รับความเชื่อถือว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกกระทำในความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น คือ

 

  1. ผู้ถูกกระทำต้องมีลักษณะอ่อนแอ อาจเป็นผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย ผู้สูงอายุ หรือเยาวชน
  2. ผู้ถูกกระทำต้องมีประวัติหรือหน้าที่การงานที่ดี
  3. ผู้ถูกกระทำต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้อย่างแท้จริง
  4. ผู้ถูกกระทำต้องไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใด ๆ หรือมีความรู้จัก สนิทสนมกับผู้ถูกกระทำ
  5. ผู้กระทำต้องเป็นคนไม่มี ที่มีอำนาจมากกว่าผู้ถูกกระทำ

 

เมื่อผู้ถูกกระทำมีลักษณะผิดไปจากอุดมคติ อาทิ แต่งกายไม่มิดชิด เดินทางลำพังในยามวิกาล หรือมีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างจากการกำหนดกรอบทางสังคม มักก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติและความโน้มเอียงทางความคิดของสังคม เป็นการลดทอนความร้ายแรงของการกระทำผิดและเพิ่มความชอบธรรมให้แก่ผู้กระทำ

 

ความเลวร้ายของทัศนคติหรือกรอบแนวคิดที่กำหนดความเป็นผู้ถูกกระทำของสังคมนั้นส่งผลเสียต่อผู้ได้รับความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ในกระบวนการทางกฎหมายของคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศ เรื่องราวของเหยื่อจะถูกเปิดเผยต่อสังคมและหยิบยกขึ้นมาทำให้ขึ้นมาทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเหยื่อกลายเป็นโมฆะจากกรอบความคิดของความเป็นเหยื่อ เพื่อกล่าวโทษว่าพฤติกรรม ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตของผู้เผชิญความรุนแรงดังกล่าวมีต้นเหตุมาจากตัวผู้ถูกกระทำเอง

 

การกล่าวโทษเหยื่ออาจถูกปลูกฝังมาจากความเชื่อต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมาในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในศาสนา ความเชื่อเรื่องโลกมีความยุติธรรม หรือความเชื่อเรื่องเจตจำนงอิสระ (Free Will) ความเชื่อมั่นว่าบุคคลหรือผู้ถูกกระทำต้องรับผิดชอบในความโชคร้ายของตนเองเพราะเป็นผู้เลือกกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง หรือจากการผลิตซ้ำภาพจำของเหยื่อในอุดมคติ และสื่อที่นำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน อาจมีส่วนในการสร้างแนวคิดและพฤติกรรมการกล่าวโทษเหยื่อด้วยเช่นกัน

 

การเลือกใช้คำสำหรับการรายงานความรุนแรงของอาชญากรรมคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้น โดยการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า การทดลองอ่านประโยครายงานข่าวข่มขืนที่แตกต่างกัน 2 ประโยค ประโยคแรกใช้ผู้ถูกกระทำเป็นประธานของประโยค ประโยคที่สองใช้ผู้กระทำเป็นประธานของประโยค พบว่าการบอกเล่าแบบแรกมีแนวโน้มของการที่ผู้รับสารจะแสดงพฤติกรรมการกล่าวโทษเหยื่อมากขึ้น ในขณะที่แบบหลังจะลดการตัดสินในการกระทำของผู้ตกเป็นเหยื่อลง ไม่มุ่งเน้นพิจารณาตัวตนของผู้เสียหาย และทำให้ผู้รับสารแสดงพฤติกรรมกล่าวโทษเหยื่อน้อยกว่า

 

 

 

 

 

มิติของการกล่าวโทษเหยื่อ

 

มีการศึกษาบางส่วนจำแนกการกล่าวโทษออกเป็น 2 มิติตามมุมมองของผู้เผชิญเหตุการณ์ร้าย

 

  1. การกล่าวโทษตนเอง (Self-blame) ในกรณีที่ตนเองเป็นผู้เคราะห์ร้าย
    การกล่าวโทษตนเองของผู้ถูกกระทำมักเกี่ยวข้องกับภาวะอารมณ์ความรู้สึกผิด ความอับอาย และความคาดหวังที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจนเกิดเป็นบาดแผลทางจิตใจ เป็นการกล่าวโทษที่เน้นไปที่การกระทำหรือพฤติกรรมของเหยื่อ เช่น หากฉันไม่เดินทางไปสถานที่แห่งนั้น
  2. การกล่าวโทษเหยื่อ (Victim-blame) ในกรณีที่ผู้อื่นตกเป็นผู้เคราะห์ร้าย
    การกล่าวโทษเหยื่อในกรณีที่ผู้ถูกกระทำเป็นบุคคลอื่นมักเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของการดูแคลน ความเกลียดชังขยะแขยง ความก้าวร้าว ความโกรธ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการตัดสินบุคคลด้วยมาตรฐานความถูกผิดตามกรอบของสังคม เป็นการกล่าวโทษที่มุ่งเน้นไปที่บุคลิกและนิสัยของผู้ถูกกระทำ เช่น เพราะเธอเป็นคนที่มีลักษณะไม่เรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็น

 

 

ผลของการกล่าวโทษเหยื่อ

 

ในสังคมที่มีลักษณะสังคมแบบปิตาธิปไตย (Patriarchy) หรือวางบทบาทให้ผู้มีอัตลักษณ์เพศขายมีฐานะเหนือกว่าผู้มีอัตลักษณ์เพศอื่น ๆ ส่งผลให้อัตราการตกเป็นเหยื่อของผู้ถูกกระทำของอาชญากรรมทางเพศในสังคมเกิดขึ้นกับอัตลักษณ์เพศหญิงมากกว่า ทว่าในการสำรวจบางส่วนจากรายงานอาชญากรรมกลับพบว่าผู้ตกเป็นเหยื่อที่เป็นเพศชายนั้นเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้การศึกษายังพบว่าเหยื่อที่มีลักษณะภายนอกเป็นเพศชายนั้นมักถูกกล่าวโทษโดยมุ่งเน้นด้านพฤติกรรมเมื่อเกิดเหตุร้ายกับตนมากกว่า เนื่องจากสมมติฐานการเหมารวม (Stereotypical assumption) ว่าผู้ชายมีความแข็งแรงและมีความสามารถในการต่อสู้กลับหรือป้องกันตัวจากการตกเป็นเหยื่อได้ ในขณะที่เหยื่อผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นเพศหญิงนั้นมักถูกกล่าวโทษด้วยลักษณะนิสัยการแสดงออก เช่น เป็นคนประมาท หรือเชื่อคนง่าย

 

การตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายที่บุคคลเผชิญโดยไม่คำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้เคราะห์ร้ายนั้น สร้างความทุกข์ ความวิตกกังวลสำหรับเหยื่อ และลดความตั้งใจในการขอความช่วยเหลือหรือรายงานอาชญากรรมทางเพศลง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับความช่วยเหลือลดลงหรือไม่ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม

 

นอกเหนือจากเจตนาการขอความช่วยเหลือของผู้ตกเป็นเหยื่อแล้ว การกล่าวโทษเหยื่อยังส่งผลต่อความมั่นใจในการตัดสินใจของเหยื่อต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคต การให้ความช่วยเหลือของพยาน และการเขียนสำนวนคดีความของอัยการในกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

บุณยาพร อนะมาน. (2567). การกล่าวโทษเหยื่อ: อิทธิพลของความเชื่อเรื่องโลกมีความยุติธรรม โดยมีอคติที่มีต่อกลุ่มคนข้ามเพศและการยอมรับมายาคติของการข่มขืนที่ถูกนำเสนอโดยสื่อเป็นตัวแปรส่งผ่าน [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2024.593

 

แชร์คอนเท็นต์นี้