เมื่อเราพูดถึงคำว่า “ความหวัง” เชื่อว่าทุกท่านมีความคุ้นเคยกับคำ ๆ นี้ ทุกท่านเคยสังเกตไหมคะว่าเรามักจะตั้งความหวังโดยใช้คำว่า “หวังว่า” เป็นประจำเมื่ออยู่ในเหตุการณ์ 2 ประเภทดังนี้
- เริ่มจะทำกิจกรรมที่สำคัญอะไรบางอย่าง เช่น “พรุ่งนี้จะสอบ หวังว่าจะทำข้อสอบได้คะแนนดีๆ” หรือ “เย็นนี้จะมีประชุมงานนัดสำคัญ หวังว่ารถจะไม่ติด”
- เมื่อประสบกับเหตุการณ์ทางลบ เช่น “หญิงสาววัยรุ่นถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน ก็มักจะตั้งความหวังว่าจะลดน้ำหนักให้ผอมโดยเร็ว” หรือ “คนรักบอกเลิกไปมีคนอื่น ก็หวังว่าเราได้พบคนรักใหม่ที่ดีกว่าเดิม”
อย่างไรก็ตาม เราจะบรรลุเป้าหมายตามที่เราตั้งความหวังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการค่ะ
ทฤษฎีความหวัง (Hope Theory) เสนอโดย Charles Richard Snyder (1994) กล่าวว่า “ความหวัง” เป็นคุณลักษณะทางจิตวิทยาทางบวกที่สำคัญของบุคคล ความหวังมีพลังในการขับเคลื่อนให้บุคคลลงมือทำพฤติกรรมต่าง ๆ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อบุคคลประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้ก็ส่งผลให้เกิดความสุขในชีวิต
ดังนั้น ความหวังในทัศนะของ Snyder (2000) จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “อารมณ์ความรู้สึก” ที่เรามักจะพูดว่า “มีหวังลม ๆ แล้ง ๆ” ที่ดูเหมือนว่าไร้น้ำหนัก ไร้ทิศทาง แต่เป็นกระบวนการทางความคิด (cognitive process) ของบุคคลที่เน้นไปยังการลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ความหวังประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ
1. เป้าหมาย (Goals):
ความหวังเริ่มต้นจากการที่บุคคลต้องมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความหมายเฉพาะตัวสำหรับบุคคลนั้น เช่น เป้าหมายของนักกีฬา คือ เหรียญทองในการแข่งขัน แต่ เป้าหมายของสาวรุ่นที่รับรู้ว่าตนเองน้ำหนักเกิน คือ น้ำหนักลดลง
สิ่งสำคัญของการตั้งเป้าหมาย คือ เป้าหมายเหล่านี้ต้องเกิดจากบุคคลความต้องการของบุคคลนั้นเอง ไม่มีใครบังคับ มีความน่าสนใจและท้าทายความสามารถในระดับหนึ่ง จึงจะช่วยกระตุ้นให้บุคคลมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการลงมือทำให้สำเร็จ
2. วิถีทาง (Pathways):
เมื่อมีเป้าหมายแล้ว บุคคลต้องสามารถมองเห็น “วิถีทาง” หรือแนวทางที่เป็นไปได้ในการไปสู่เป้าหมายนั้น วิถีทาง คือแผนการหรือกลยุทธ์ที่บุคคลเชื่อมั่นว่าจะนำพาตนเองไปสู่ความสำเร็จได้ การมีวิถีทางที่หลากหลายและยืดหยุ่น จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเป้าหมายนั้นสามารถบรรลุได้ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรค เช่น หญิงสาววัยรุ่นที่รับรู้ว่าตนเองน้ำหนักเกิน ตั้งเป้าหมาย คือ น้ำหนักลดลง ดังนั้นแผนการไปสู่เป้าหมาย “น้ำหนักที่ลดลง” ต้องมีความหลากหลายเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหลายด้าน เช่น ลดการดื่มเครื่องดื่มรสหวาน ลดการรับประทานอาหารเย็น และมีการออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย
ข้อแนะนำที่สำคัญคือ การลดปริมาณการกินอาหาร การเพิ่มเวลาและวิธีการออกกำลังกายต้องมีความยืดหยุ่นทั้งในด้านปริมาณและจำนวนครั้ง บุคคลต้องกำหนดปริมาณและจำนวนครั้งของการลดหรือเพิ่มพฤติกรรมที่จะนำไปสู่เป้าหมายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้
3. พลังใจ (Agency):
คือความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (Self-efficacy; Bandura, 1997) ในการจะลงมือทำตาม “วิถีทาง” ที่ตนวางไว้ วิธีการที่ช่วยส่งเสริมให้บุคคลมีความมั่นใจในตนเองและอดทนในการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย เช่น
3.1 ตั้งเป้าหมายย่อยๆ ที่สามารถทำแล้วประสบความสำเร็จได้ง่ายก่อน เราก็จะรู้สึกมั่นใจ มีพลังที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายที่ยากขึ้น มีความท้าทายอีกระดับที่สูงขึ้น เช่น การลดน้ำหนักด้วยวิธีการออกกำลังกายด้วยการเดินทุกวัน ขั้นแรกอาจตั้งเป้าหมายไว้ว่า เดินวัน เว้น วัน ให้ได้วันละ 1000 ก้าวก่อน หลังจากทำได้สำเร็จตามเป้าหมายแรกแล้ว ขั้นต่อไปเราจึงค่อย ๆ เพิ่มเป็น 2000 ก้าว เป็นต้น
3.2 หาตัวช่วย เช่น มีเพื่อนร่วมเดินออกกำลังด้วยกัน คอยให้กำลังใจ หรือกระตุ้นเตือนเมื่อถึงเวลาที่นัดกันไปเดินออกกำลัง นอกจากนี้ ตัวช่วยที่สำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากในยุคสังคมออนไลน์ในปัจจุบันคือ Influencer หรือ บุคคลที่มีชื่อเสียงใน Platform ต่างๆ ที่เราชื่นชอบและเป็นตัวแบบในการลดน้ำหนักได้อย่างประสบความสำเร็จ เราจะได้รับข้อมูลจากบุคคลตัวแบบนั้นว่าท่านเหล่านั้นใช้เทคนิควิธีการอย่างไรในการประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก เฉพาะอย่างยิ่งเทคนิควิธีการที่บุคคลนั้นใช้เมื่อประสบปัญหาระหว่างทางก่อนที่จะบรรลุเป้าหมาย เราสามารถเรียนรู้และก็ปรับวิธีการนั้นมาใช้กับตัวเราได้
จากคำอธิบายข้างต้น ทุกท่านจะเห็นได้ว่า ทฤษฎีความหวัง เน้นให้เห็นว่า ความหวังไม่ใช่เพียงอารมณ์เชิงบวกอย่างเดียว หากแต่เป็นทักษะทางความคิดที่เราสามารถพัฒนาและฝึกฝนได้
การส่งเสริมให้บุคคลมีความหวังตามแนวทฤษฎีความหวัง จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตั้งเป้าหมายที่ตรงกับความเป็นจริง มีวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน และที่สำคัญคือ มีความหวังอย่างเดียวไม่ได้ บุคคลจะต้องลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ด้วยจึงจะทำให้ความหวังกลายเป็นความจริงได้
หากจะสรุปแนวคิดจิตวิทยาทางบวก (Positive psychology; Seligman, 2002) อาจกล่าวได้ว่า ความหวัง (Hope) เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่ทำให้คุณเป็น HERO ของชีวิตตัวเองได้ กล่าวคือ คุณมีความหวัง (Hope) นั่นหมายความว่าคุณมีเป้าหมายในชีวิต คุณจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางแผนไว้ได้นั้น คุณต้องมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (Efficacy) คุณมั่นใจว่าคุณสามารถทำได้ เมื่อคุณอยู่ในระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้น ๆ คุณอาจประสบกับปัญหา อุปสรรค ความท้าทายต่าง ๆ ในชีวิต การมีความหวังและความเชื่อมั่นในตนเองจะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่น (Resilience) พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ ด้วยการปรับมุมมองเหตุการณ์ที่เลวร้ายต่าง ๆ นั้นในอีกแง่มุมที่เป็นบวก (Optimism) คุณก็จะมีพลังฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งความหวังไว้ได้จริงอย่างแน่นอนค่ะ
อ้างอิง
Bandura, A. (1977). Self-efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological Review, 84(2), 191–215.
Seligman, M. E. P. (2002). Authentic Happiness: Using the New Positive Psychology to Realize Your Potential for Lasting Fulfillment. New York: Free Press
Snyder, C. R. (1994). The psychology of hope: You can get there from here. Free Press
Snyder, C.R. (2000). Handbook of Hope. Academic Press: San Diego, CA, USA.
บทความโดย
รองศาสตราจารย์ ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล
อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ