บรรลุเป้าหมายแห่งความสำเร็จ ด้วยพลังแห่งความหวัง

01 Aug 2025

รศ. ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล

 

เมื่อเราพูดถึงคำว่า “ความหวัง” เชื่อว่าทุกท่านมีความคุ้นเคยกับคำ ๆ นี้ ทุกท่านเคยสังเกตไหมคะว่าเรามักจะตั้งความหวังโดยใช้คำว่า “หวังว่า” เป็นประจำเมื่ออยู่ในเหตุการณ์ 2 ประเภทดังนี้

 

  1. เริ่มจะทำกิจกรรมที่สำคัญอะไรบางอย่าง เช่น “พรุ่งนี้จะสอบ หวังว่าจะทำข้อสอบได้คะแนนดีๆ” หรือ “เย็นนี้จะมีประชุมงานนัดสำคัญ หวังว่ารถจะไม่ติด”
  2. เมื่อประสบกับเหตุการณ์ทางลบ เช่น “หญิงสาววัยรุ่นถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน ก็มักจะตั้งความหวังว่าจะลดน้ำหนักให้ผอมโดยเร็ว” หรือ “คนรักบอกเลิกไปมีคนอื่น ก็หวังว่าเราได้พบคนรักใหม่ที่ดีกว่าเดิม”

 

อย่างไรก็ตาม เราจะบรรลุเป้าหมายตามที่เราตั้งความหวังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการค่ะ

 

ทฤษฎีความหวัง (Hope Theory) เสนอโดย Charles Richard Snyder (1994) กล่าวว่า “ความหวัง” เป็นคุณลักษณะทางจิตวิทยาทางบวกที่สำคัญของบุคคล ความหวังมีพลังในการขับเคลื่อนให้บุคคลลงมือทำพฤติกรรมต่าง ๆ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อบุคคลประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวังไว้ก็ส่งผลให้เกิดความสุขในชีวิต

 

ดังนั้น ความหวังในทัศนะของ Snyder (2000) จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “อารมณ์ความรู้สึก” ที่เรามักจะพูดว่า “มีหวังลม ๆ แล้ง ๆ” ที่ดูเหมือนว่าไร้น้ำหนัก ไร้ทิศทาง แต่เป็นกระบวนการทางความคิด (cognitive process) ของบุคคลที่เน้นไปยังการลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

 

 

ความหวังประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ

 

1. เป้าหมาย (Goals):

 

ความหวังเริ่มต้นจากการที่บุคคลต้องมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความหมายเฉพาะตัวสำหรับบุคคลนั้น เช่น เป้าหมายของนักกีฬา คือ เหรียญทองในการแข่งขัน แต่ เป้าหมายของสาวรุ่นที่รับรู้ว่าตนเองน้ำหนักเกิน คือ น้ำหนักลดลง

 

สิ่งสำคัญของการตั้งเป้าหมาย คือ เป้าหมายเหล่านี้ต้องเกิดจากบุคคลความต้องการของบุคคลนั้นเอง ไม่มีใครบังคับ มีความน่าสนใจและท้าทายความสามารถในระดับหนึ่ง จึงจะช่วยกระตุ้นให้บุคคลมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการลงมือทำให้สำเร็จ

 

2. วิถีทาง (Pathways):

 

เมื่อมีเป้าหมายแล้ว บุคคลต้องสามารถมองเห็น “วิถีทาง” หรือแนวทางที่เป็นไปได้ในการไปสู่เป้าหมายนั้น วิถีทาง คือแผนการหรือกลยุทธ์ที่บุคคลเชื่อมั่นว่าจะนำพาตนเองไปสู่ความสำเร็จได้ การมีวิถีทางที่หลากหลายและยืดหยุ่น จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเป้าหมายนั้นสามารถบรรลุได้ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรค เช่น หญิงสาววัยรุ่นที่รับรู้ว่าตนเองน้ำหนักเกิน ตั้งเป้าหมาย คือ น้ำหนักลดลง ดังนั้นแผนการไปสู่เป้าหมาย “น้ำหนักที่ลดลง” ต้องมีความหลากหลายเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหลายด้าน เช่น ลดการดื่มเครื่องดื่มรสหวาน ลดการรับประทานอาหารเย็น และมีการออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย

 

ข้อแนะนำที่สำคัญคือ การลดปริมาณการกินอาหาร การเพิ่มเวลาและวิธีการออกกำลังกายต้องมีความยืดหยุ่นทั้งในด้านปริมาณและจำนวนครั้ง บุคคลต้องกำหนดปริมาณและจำนวนครั้งของการลดหรือเพิ่มพฤติกรรมที่จะนำไปสู่เป้าหมายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้

 

3. พลังใจ (Agency):

 

คือความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (Self-efficacy; Bandura, 1997) ในการจะลงมือทำตาม “วิถีทาง” ที่ตนวางไว้ วิธีการที่ช่วยส่งเสริมให้บุคคลมีความมั่นใจในตนเองและอดทนในการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย เช่น

 

3.1 ตั้งเป้าหมายย่อยๆ ที่สามารถทำแล้วประสบความสำเร็จได้ง่ายก่อน เราก็จะรู้สึกมั่นใจ มีพลังที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายที่ยากขึ้น มีความท้าทายอีกระดับที่สูงขึ้น เช่น การลดน้ำหนักด้วยวิธีการออกกำลังกายด้วยการเดินทุกวัน ขั้นแรกอาจตั้งเป้าหมายไว้ว่า เดินวัน เว้น วัน ให้ได้วันละ 1000 ก้าวก่อน หลังจากทำได้สำเร็จตามเป้าหมายแรกแล้ว ขั้นต่อไปเราจึงค่อย ๆ เพิ่มเป็น 2000 ก้าว เป็นต้น

 

3.2 หาตัวช่วย เช่น มีเพื่อนร่วมเดินออกกำลังด้วยกัน คอยให้กำลังใจ หรือกระตุ้นเตือนเมื่อถึงเวลาที่นัดกันไปเดินออกกำลัง นอกจากนี้ ตัวช่วยที่สำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากในยุคสังคมออนไลน์ในปัจจุบันคือ Influencer หรือ บุคคลที่มีชื่อเสียงใน Platform ต่างๆ ที่เราชื่นชอบและเป็นตัวแบบในการลดน้ำหนักได้อย่างประสบความสำเร็จ เราจะได้รับข้อมูลจากบุคคลตัวแบบนั้นว่าท่านเหล่านั้นใช้เทคนิควิธีการอย่างไรในการประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก เฉพาะอย่างยิ่งเทคนิควิธีการที่บุคคลนั้นใช้เมื่อประสบปัญหาระหว่างทางก่อนที่จะบรรลุเป้าหมาย เราสามารถเรียนรู้และก็ปรับวิธีการนั้นมาใช้กับตัวเราได้

 

จากคำอธิบายข้างต้น ทุกท่านจะเห็นได้ว่า ทฤษฎีความหวัง เน้นให้เห็นว่า ความหวังไม่ใช่เพียงอารมณ์เชิงบวกอย่างเดียว หากแต่เป็นทักษะทางความคิดที่เราสามารถพัฒนาและฝึกฝนได้

 

การส่งเสริมให้บุคคลมีความหวังตามแนวทฤษฎีความหวัง จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตั้งเป้าหมายที่ตรงกับความเป็นจริง มีวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน และที่สำคัญคือ มีความหวังอย่างเดียวไม่ได้ บุคคลจะต้องลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ด้วยจึงจะทำให้ความหวังกลายเป็นความจริงได้

 

หากจะสรุปแนวคิดจิตวิทยาทางบวก (Positive psychology; Seligman, 2002) อาจกล่าวได้ว่า ความหวัง (Hope) เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่ทำให้คุณเป็น HERO ของชีวิตตัวเองได้ กล่าวคือ คุณมีความหวัง (Hope) นั่นหมายความว่าคุณมีเป้าหมายในชีวิต คุณจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางแผนไว้ได้นั้น คุณต้องมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (Efficacy) คุณมั่นใจว่าคุณสามารถทำได้ เมื่อคุณอยู่ในระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้น ๆ คุณอาจประสบกับปัญหา อุปสรรค ความท้าทายต่าง ๆ ในชีวิต การมีความหวังและความเชื่อมั่นในตนเองจะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่น (Resilience) พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ ด้วยการปรับมุมมองเหตุการณ์ที่เลวร้ายต่าง ๆ นั้นในอีกแง่มุมที่เป็นบวก (Optimism) คุณก็จะมีพลังฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งความหวังไว้ได้จริงอย่างแน่นอนค่ะ

 

 

 

อ้างอิง

 

Bandura, A. (1977). Self-efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological Review, 84(2), 191–215.

 

Seligman, M. E. P. (2002). Authentic Happiness: Using the New Positive Psychology to Realize Your Potential for Lasting Fulfillment. New York: Free Press

 

Snyder, C. R. (1994). The psychology of hope: You can get there from here. Free Press

 

Snyder, C.R. (2000). Handbook of Hope. Academic Press: San Diego, CA, USA.

 

 


 

 

บทความโดย

รองศาสตราจารย์ ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ

 

Share this content