News & Events

ครบรอบ 39 ปี แห่งการสถาปนาสถาบันเอเชียศึกษา

 

วันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ผู้ช่วยสาสตราจารย์ ด.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา และคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 39 ปี แห่งการสถาปนาสถาบันเอเชียศึกษา ณ CU Social Innovation Hub อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

 

 

งานปัจฉิมนิเทศและแสดงความยินดีกับ บัณฑิตคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2566

 

คณะจิตวิทยาจัดงานเตรียมความพร้อมบัณฑิตสู่สังคม (ปัจฉิมนิเทศ) และแสดงความยินดีกับบัณฑิตคณะจิตวิทยา (ระดับปริญญาตรี) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2566 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ณ ห้อง 801 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา
ในงานนี้ คณบดี คณาจารย์ และศิษย์เก่า ได้ร่วมกล่าวแสดงความยินดีและให้โอวาทแก่ว่าที่บัณฑิตคณะจิตวิทยา อีกทั้ง คุณอมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Sati App ได้มากล่าวบรรยายในหัวข้อ Navigating the Future: Leadership, Resilience, and Social Impact 
ปิดท้ายด้วยการมอบรางวัลให้แก่นิสิตในด้านต่าง ๆ รวมถึงรางวัลการนำเสนองานวิจัยที่ได้นำเสนอไปเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา

 

 

ภาพเพิ่มเติมดูได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Psychology Chula

 

กิจกรรมกลุ่มสำหรับบุคลากรจุฬาฯ เรื่อง “เติมเชื้อไฟให้ชีวิตการทำงาน”

 

ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดกิจกรรมการบรรยายความรู้เชิงจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาสุขภาวะทางจิตบุคลากรของจุฬาฯ เรื่อง เติมเชื้อไฟให้ชีวิตการทำงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันสร้างเสริมสุขภาวะผ่านปัจจัยจิตวิทยาทางบวก เพื่อลดความเสี่ยงต่อความเครียดและภาวะหมดไฟของบุคลากรจุฬาฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์บริการสุขภาพแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการ CU Sustainable Well-being: เสริมสร้างสุขภาวะอย่างยั่งยืน

 

 

 

 

 

วิทยากร
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

วันและเวลา

กลุ่มที่ 1:

วันที่ 2, 4, 9 และ 11 กรกฎาคม 2567

เวลา 10.00 – 12.00 น.

 

กลุ่มที่ 2:

วันที่ 2, 4, 9 และ 11 กรกฎาคม 2567

เวลา 13.30 – 15.30 น.

 

สถานที่จัดกิจกรรม:

ณ ห้อง 614 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ผู้เข้าร่วมกิจกรรม:

กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับบุคลากร จุฬาฯ โดยบุคลากร จุฬาฯ สามารถเข้าร่วมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ลงทะเบียนเข้าร่วมการรับฟังบรรยายได้ที่:

https://forms.gle/b6GgeUTcXA4izJCu9

รับสมัครจำนวนจำกัด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:

ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เบอร์โทรศัพท์ 082 – 329 -8001

Line OA: @266wares

 

กิจกรรมกลุ่มสำหรับบุคลากรจุฬาฯ เรื่อง “ลดความเครียด เพื่อเพิ่มสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน”

 

ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดกิจกรรมการบรรยายความรู้เชิงจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาสุขภาวะทางจิตบุคลากรของจุฬาฯ เรื่อง ลดความเครียด เพื่อเพิ่มสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันสร้างเสริมสุขภาวะผ่านปัจจัยจิตวิทยาทางบวก เพื่อลดความเสี่ยงต่อความเครียดและภาวะหมดไฟของบุคลากรจุฬาฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์บริการสุขภาพแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการ CU Sustainable Well-being: เสริมสร้างสุขภาวะอย่างยั่งยืน

 

 

 

 

วิทยากร
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

วันและเวลา

กลุ่มที่ 1:

วันที่ 18, 20, 25 และ 27 มิถุนายน 2567

เวลา 10.00 – 12.00 น.

กลุ่มที่ 2:

วันที่ 18, 21, 25 และ 27 มิถุนายน 2567

เวลา 13.30 – 15.30 น.

 

สถานที่จัดกิจกรรม:

ณ ห้อง 614 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ผู้เข้าร่วมกิจกรรม:

กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับบุคลากร จุฬาฯ โดยบุคลากร จุฬาฯ สามารถเข้าร่วมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ลงทะเบียนเข้าร่วมการรับฟังบรรยายได้ที่:

https://forms.gle/rG9k8Mdumx2Xb3FY7

รับสมัครจำนวนจำกัด

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:

ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เบอร์โทรศัพท์ 082 – 329 -8001

Line OA: @266wares

เปิดรับสมัครคัดเลือกผู้เข้ารับการทดสอบสมรรถนะเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ “นักจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก” ประจําปีการศึกษา 2567

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เปิดรับสมัครคัดเลือกผู้เข้ารับการทดสอบสมรรถนะเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ “นักจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก” ประจําปีการศึกษา 2567

 

ติดตามรายละเอียดและกำหนดการรับสมัครได้ที่ศูนย์ Life Di คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

คุณวุฒิที่รับสมัครสอบ


 

นักจิตวิทยาพัฒนาการเด็กระดับที่ 5

เหมาะสมกับ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก ทั้งในสถานพยาบาล สถานศึกษา และประกอบอาชีพในฐานนะนักจิตวิทยาพัฒนาการเด็กอิสระ

 

นักจิตวิทยาพัฒนาการเด็กระดับที่ 6

เหมาะสมกับผู้ประกอบวิชาชีพด้านจิตวิทยาพัฒนาการเด็กในบริบทการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้น อาทิเช่น เด็กที่มีความล่าช้าหรือมีปัญหาทางพฤติกรรมและพัฒนาการ เด็กที่มีความต้องการพิเศษ

 

 

 

กำหนดการ


 

ขยายเวลาการสมัครถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2567

 

 

 

เอกสารและขั้นตอนการสมัคร


 

 

 

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

email : tpqi.devpsycho@gmail.com หรือ

โทร : 02-218-1339

 

 

 

Welcome Dr. Daniel Chin and Khun Izumi Takeda from Queensland University of Technology (QUT), Australia.

 

On May 20th, the Faculty of Psychology at Chulalongkorn University had the opportunity to welcome Dr. Daniel Chin and Khun Izumi Takeda from Queensland University of Technology (QUT), Australia. Fruitful discussions took place regarding potential collaborations. During this special occasion, the following faculty members extended a warm welcome to our visiting colleagues from QUT: Dean of the Faculty of Psychology: Assistant Professor Dr. Nattasuda Taephant, Assistant Dean for International Affairs: Assistant Professor Dr. Somboon Jarukasemthawee, and Assistant Professor Dr. Kullaya Pisitsungkagarn. We were delighted to host our colleagues from QUT and look forward to future collaborations.

 

 

ครบรอบ 84 ปี แห่งการสถาปนาคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา และคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคระจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี แห่งการสถาปนาคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

 

ความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค – Adversity quotient

 

ความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค (Adversity quotient: AQ) เป็นแนวคิดที่ถูกเผยแพร่ในปี 1997 โดย Paul Gordon Stoltz ผู้เขียนหนังสือ “Adversity Quotient: Turning Obstacles into Opportunities”

 

Stoltz ได้นิยาม AQ ไว้ว่า เป็นความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรคและความยากลำบาก หรือความฉลาดในการฝ่าวิกฤต สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส มองปัญหาเป็นเรื่องท้าทายในชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำนายการประสบความสำเร็จในชีวิต นอกเหนือจากความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)

 

 

 

Stoltz (2000) พัฒนามาตรวัดความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค (Adversity Response Profile; ARP) แบ่งการวัดออกเป็น 4 มิติ (CO2RE) ดังนี้

 

1. ด้านการควบคุมสถานการณ์ (C: Control)

 

หมายถึงความสามารถในการตระหนักรู้ว่าตนสามารถจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บุคคลที่มีลักษณะด้านนี้สูงเป็นบุคคลที่จะคิดเสมอว่าตนสามารถควบคุมสถานการณ์ในชีวิตได้ เชื่อว่าทุกปัญหามีทางแก้ไข มีความคิดเชิงรุกต่อปัญหา ไม่ย่อท้อ มีความหนักแน่น ไม่ลดละความตั้งใจ มีความกระฉับกระเฉงในการเผชิญปัญหาและพยายามหาทางออกอยู่เสมอ ส่วนบุคคลที่มีลักษณะด้านนี้ต่ำเป็นผู้รับรู้ว่าปัญหาอุปสรรคแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำลายความรู้สึกที่มีพลังอำนาจให้หมดไป เพิกเฉยและเย็นชาต่อปัญหา ไม่ดิ้นรน ไม่กระตือรือร้น

 

2. ด้านการรับรู้สาเหตุและความรับผิดชอบต่อปัญหา (O2: Origin and Ownership)

 

หมายถึง การวิเคราะห์ค้นหาสาเหตุของปัญหาว่าใครหรืออะไรคือสาเหตุ และตระหนักว่าเป็นความรับผิดชอบของตนมากน้อยเพียงใด เมื่อเป็นปัญหาของตนก็จะต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ไม่ผลักภาระรับผิดชอบไปให้คนอื่น พิจารณาปัญหาจากตนเองและปัจจัยภายนอก เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากความผิดพลาด ตำหนิหรือโทษตนเองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การเสียใจและสำนึก ซึ่งถือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพลังหากนำมาใช้อย่างเหมาะสม เพราะจะนำมาซึ่งการปรับปรุงแก้ไข (แต่หากตำหนิตนเองมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดการเสียขวัญและทำลายพลังงาน ความหวัง และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย)

 

3. ด้านการรับรู้การแผ่ขยาย (R: Reach)

 

หมายถึงการรับรู้ของบุคคลว่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นส่งผลหรือแผ่ขยายไปสู่ด้านอื่นของชีวิตมากน้อยเพียงใด ผู้ที่มีความสามารถด้านนี้สูงจะรับรู้ว่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นส่งผลจำเพาะและจำกัด บุคคลจะแยกเรื่องเลวร้ายออกไปจากส่วนอื่นของชีวิต ทำให้สามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ มองว่าเรื่องร้ายๆ ไม่ใช่ความล้มเหลว ส่วนผู้ที่มีความสามารถด้านนี้ต่ำจะรับรู้ว่าอุปสรรคจะส่งผลแผ่ขยายไปครอบคลุมเรื่องต่างๆ ในชีวิต ขณะที่มองว่าสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่จำกัดและมีความจำเพาะ ไม่แผ่ขยายไปด้านอื่น

 

4. ด้านการรับรู้ความคงทนของอุปสรรค (E: Endurance)

 

หมายถึง การรับรู้ว่าอุปสรรคและสาเหตุของอุปสรรคนั้นจะคงอยู่นานเพียงใด ผู้ที่มีด้านนี้สูงจะมองว่าความสำเร็จเป็นสิ่งที่คงอยู่นาน และมองว่าอุปสรรคและสาเหตุของอุปสรรคเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วคราว ไม่คิดว่าเกิดซ้ำอีก ส่งผลให้บุคคลมองโลกในแง่ดีขึ้น สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ย่อท้อ ส่วนผู้ที่มีด้านนี้ต่ำจะรุ้สึกว่าอุปสรรคและสาเหตุของมันคงอยู่เป็นเวลานาน ส่วนเหตุการณ์ที่ดีนั้นก็มองว่าเป็นเรื่องชั่วคราว ทำให้บุคคลมีแนวโน้มที่จะไม่กระทำการใดๆ เพื่อแก้ปัญหาที่ตนมองว่าไม่มีทางแก้ไขได้

 

 

การแบ่งประเภทของอุปสรรคและความยากลำบากในชีวิต


 

Stoltz เสนอว่าอุปสรรค ความยากลำบากและความทุกข์ในชีวิตของคนเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ

 

  1. อุปสรรคความยากลำบากระดับสังคม คือ ความทุกที่เกิดขึ้นภายในสังคมที่เราอาศัยอยู่ เช่น กลัวความไม่ปลอดภัยจากอาชญากรรม ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย ความอบอุ่นในครอบครัว ความเสื่อมทางศีลธรรมของคนในสังคม และการขาดศรัทธาในขนบธรรมเนียม รวมถึงระบบการศึกษา
  2. อุปสรรคและความไม่มั่นคงในงาน คือ ความไม่มั่นคงด้านอาชีพการงาน คนส่วนใหญ่มักไม่ทุ่มเทในงานเพราะในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อผู้ปฏิบัติงานมาก ไม่ว่าจะเป็นการรื้อระบบ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน การลดขนาดจำนวนคน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีสมมติฐานว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพขององค์การ แต่กระทบกับการจ้างงานซึ่งถือเป็นความไม่มั่นคงสำหรับคนทำงาน
  3. อุปสรรคในระดับบุคคล บุคคลจะได้รับความทุกข์ยากเป็นลำดับขั้น เริ่มมาจากสังคม ที่ทำงาน และระดับบุคคลตามลำดับ บุคคลจะสะสมความเครียดเอาไว้ จากสถิติพบว่าเด็กอายุ 6 ขวบจะหัวเราะเฉลี่ยวันละ 300 ครั้ง แต่ผู้หญิงจะหัวเราะเฉลี่ยวันละ 17 ครั้งเท่านั้น บ่งชี้ว่าเราต้องพบกับอุปสรรคและต้องฝ่าฟันความยากลำบากเพิ่มขึ้นตามวัยและความรับผิดชอบ

 

 

เทคนิคการพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค


 

หนทางในการพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ในลักษณะที่เรียกว่า the LEAD Sequence คือ

 

L = listen to your adversity response

บอกให้ตนเองรู้ว่าขณะนี้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคใดขึ้นกับตนเอง และต้องตอบสนองต่ออุปสรรคนั้นอย่างไร

 

E = Explore all origins and ownership of the result

สำรวจว่าสิ่งใดคือต้นตอและสาเหตุของอุปสรรคที่เกิดขึ้น ระบุให้ชัดเจนว่าตนเองต้องทำสิ่งใดที่เฉพาะเจาะจงลงไปเพื่อให้สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ตัดสินลงไปว่าสิ่งใดอยู่ในความรับผิดชอบ และสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบหรือการตัดสินใจของเรา

 

A = Analyze the evidence

วิเคราะห์ให้เกิดความชัดเจน โดยการค้นหาหลักฐานหรือภาวะแวดล้อมมาสนับสนุนว่า สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมมีอะไรบ้าง อุปสรรคจะเข้ามาสู่ชีวิตอีกนานเท่าใด ทำอย่างไรจึงจะไม่ทำให้อุปสรรคหรือปัญหาอยู่ในชีวิตนานจนเกิดไป พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาด้วยศักยภาพของตนเอง

 

D = Do something

เลือกวิธีการและลงมือดำเนินการเพื่อให้อุปสรรคอยู่กับเราให้น้อยที่สุด ด้วยการหาข้อมูลที่จำเป็นและวิธีที่จะสามารถควบคุมไม่ให้อุปสรรคเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตเราเพิ่มเติม

 

 


 

 

 

ข้อมูลจากวิทยานิพนธ์

 

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค การมองโลกในแง่ดีกับความเครียดของนิสิตนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 3 และ 4” โดย ชลธิชา ศรีรุ่งเรือง, ณัฐเสฐ คมวงศ์วิวัฒน์ และ พันธุ์ทิพย์ เปาทอง (2554) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47186

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค การสนับสนุนทางสังคม กับความเครียดในนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6” โดย รัชนู วรรณา, สกุลรัตน์ แสงจันทร์ และ สิรินาถ ชวาลตันติพิพัทธ์ (2553) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47274

 

ภาพประกอบจาก http://www.josito.de/

 

Undergraduate Psychology Research Symposium 2024

 

วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 คณะจิตวิทยาจัดงานนำเสนอผลงานวิจัย Senior Project (Undergraduate Psychology Research Symposium 2024) ของนิสิตปริญญาตรีคณะจิตวิทยา ชั้นปีที่ 4 ทั้งภาคไทย และ JIPP ก่อนจบการศึกษา ณ โถงอเนกประสงค์ และ co working space ชั้น 3 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ

 

งานวิจัยนำเสนอมีทั้งสิ้น 48 ชิ้นงาน โดยจะมีการมอบรางวัลให้กับกลุ่มของนิสิตที่มี ผลงานดี 3 ลำดับแรก และรางวัล popular vote จากผู้ชมทั่วไปและนิสิต 2 รางวัล ซึ่งจะประกาศผลและมอบให้กับนิสิตในวันงานปัจฉิมนิเทศวันที่ 16 พฤษภาคม ด้วย

 

 

 

ภาพบรรยากาศงาน -> อัลบั้มภาพ

 

ข้อควรคำนึงในการบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรมในผู้สูงวัยโรคซึมเศร้า

 

โรคซึมเศร้าเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพจิตที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ในกลุ่มผู้สูงวัย โดยความเสี่ยงของภาวะ นี้จะมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อบุคคลมีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป (World Health Organization, 2021) การบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม (cognitive-behavior therapy; CBT) ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาอาการป่วย ซึมเศร้า ข้อดีของวิธีนี้คือเป็นการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม จึงไม่มีการใช้ยาระงับอาการต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง และถูกกล่าวว่าดีกว่าแนวการบำบัดอื่น ๆ เช่น เทคนิคการผ่อนคลาย การบำบัดด้วยจิตวิเคราะห์ หรือแม้แต่การบำบัดด้วยการออกกำลังกาย (Huang et al., 2015)

 

 

การบำบัดด้วย CBT ในผู้สูงวัยนั้น มีขั้นตอนในการบำบัดที่เหมือนกับการบำบัดในผู้ป่วยกลุ่มวัยอื่น ๆ แต่เนื่องจากผู้สูงวัยเป็นบุคคลในช่วงวัยที่ผ่านประสบการณ์ที่หลากหลาย และมีความต้องการปรารถนาอันซับซ้อนแตกต่างจากกลุ่มวัยอื่น ๆ จึงมีข้อควรคำนึงถึงในการให้การบำบัดด้วย CBT กับกลุ่มผู้สูงวัย ดังนี้

 

ข้อแรก ความแตกต่างระหว่างวัย

 

ผู้ให้การบำบัดควรคำนึงถึงสภาพสังคม ความเชื่อ และแนวคิดที่ผู้สูงวัยถูกหล่อหลอมมา ว่ามีความแตกต่างจากคนอีกยุคสมัยหนึ่ง เช่น ผู้สูงวัยอาจจะไม่พูดหรือพูดเป็นนัยเกี่ยวกับปัญหาทางครอบครัวที่ตนเองประสบพบเจอ เนื่องจากเติบโตมาในสังคมที่ปลูกฝังว่าไม่ควรนำเรื่องครอบครัวไปพูดนอกบ้าน เมื่อมีความเข้าใจดังนี้แล้ว ผู้ให้การบำบัดจะประเมินความต้องการหรือนัยยะแฝงของผู้เข้ารับการบำบัดได้ดียิ่งขึ้น (Laidlaw et al., 2003; Laidlaw & McAlpine, 2008) นำไปสู่การหาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของผู้สูงวัยผ่านบุคคลรอบข้างเพิ่มเติมจากการสอบถามจากผู้สูงวัยโดยตรงเพียงอย่างเดียว

 

ข้อต่อมา บุคคลผู้มีอิทธิพลทางใจต่อผู้สูงวัย (เช่น ลูก หลาน เป็นต้น)

 

ในการบำบัดผู้สูงวัย บางครั้งผู้ให้การบำบัดต้องคำนึงถึงบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อผู้เข้ารับการบำบัด เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่าบุคคลดังกล่าวถือเป็นปัจจัยบ่งชี้หนึ่งถึงความสำเร็จของการบำบัด (Koder et al., 1996; Laidlaw & McAlpine, 2008) ไม่ว่าจะโดยการพูดคุยเกลี้ยกล่อมให้ผู้สูงวัยเข้ารับการบำบัดจนครบกระบวนการ หรือการติดตามสังเกตพฤติกรรมของผู้สูงอายุเมื่ออยู่ในบ้าน

 

ข้อที่สาม การสร้างเป้าหมายของการบำบัด

 

เนื่องจากผู้สูงวัยอาจเผชิญความท้าทายจากการเสื่อมถอยของระบบการคิดวิเคราะห์ และพัฒนาการทางสมอง ซึ่งเป็นภาวะปกติที่พบได้ทั่วไปเมื่อบุคคลมีอายุที่มากขึ้น ในการบำบัดอาจจะเริ่มต้นที่การสร้างเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สามารถวัดให้เห็นถึงความสำเร็จได้ชัด โดยเป้าหมายที่ตั้งในช่วงแรก ๆ ให้เน้นไปที่เป้าหมายเชิงพฤติกรรมมากกว่าเป้าหมายเชิงความคิด เพราะเป็นเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ ทั้งนี้ควรเน้นให้มีการเสริมแรงที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และควรกระตุ้นให้เกิดการทบทวนหรือกระทำซ้ำบ่อย ๆ เพื่อเป็นการเสริมสร้างการแปรความจำระยะสั้นให้เป็นความจำระยะยาว (Koder et al., 1996; Mirowsky & Ross, 1992)

 

ข้อสุดท้าย ความสามารถทางด้านจิตปัญญา (Cognition) ของผู้สูงวัย

 

เนื่องจากผู้สูงวัยมีการเสื่อมถอยของการทำงานของร่างกายและสมอง ซึ่งส่งผลต่อการคิดวิเคราะห์และอารมณ์ของผู้สูงวัย ผู้บำบัดจะต้องออกแบบ โปรแกรมการบำบัดโดยคำนึงถึงความสามารถด้านพัฒนาการของผู้เข้ารับการบำบัดควบคู่ไปด้วย เนื่องจากปัจจัยนี้เป็นตัวบ่งชี้ตัวหนึ่งถึงความสำเร็จของการบำบัด โดยมีงานวิจัยพบว่าหากผู้สูงวัยมีความบกพร่องด้านการคิดวิเคราะห์ การบำบัดด้วย CBT จะส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ มากกว่าการเปลี่ยนความคิดของผู้สูงวัย (Simon et al., 2015)

 

 

นอกจากนี้ในการบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรมควรมีการตระหนักถึงความท้าทายเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงวัย เช่น

 

ประการแรก “ความเชื่อ” ว่า ภาวะซึมเศร้าเป็นเรื่องปกติของพัฒนาการในผู้สูงวัย

 

ผู้สูงวัยที่มีความเชื่อดังกล่าว มักจะมีการรายงานถึงอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะนี้มากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยของ Mirowsky & Ross (1992) ระบุว่าผู้สูงวัยมักจะรายงานถึงอาการทั่วไป เช่น ปัญหาด้านการนอนหลับ หรือปัญหาด้านการมีสมาธิจดจ่อ ต่ำกว่าความเป็นจริง แต่จะรายงานถึงความคิดฆ่าตัวตายสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งหากผู้ให้การบำบัดไม่คำนึงถึงจุดนี้ อาจจะมีการตอบสนองต่ออาการบางข้อมากเกินพอดี โดยละเลยที่จะสังเกตและค้นหาปัญหาด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้ให้การบำบัดจะต้องให้การระมัดระวังในการประเมินความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายของผู้เข้ารับการบำบัดเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยต่อปัญหาอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่

 

ประการที่สอง “ความเชื่อ” ว่า ผู้สูงวัยไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้

 

ความเชื่อดังกล่าวอาจส่งผลให้ผู้ให้การ บำบัดมีความพยายามในการให้บริการน้อยลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะทำให้อัตราความสำเร็จของการบำบัดนั้นลดน้อยลงไปด้วย ปัจจุบันมีการศึกษามากมายที่ออกมายืนยันแล้วว่าผู้สูงวัยสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ และการทำงานของสมองในผู้สูงวัยก็สามารถถูกพัฒนาได้เช่นกัน (Depp et al., 2012; Laidlaw et al., 2003).

 

ประการที่สาม ความต้องการ ความรัก การดูแลเอาใจใส่ และคนที่เข้าใจ

 

มนุษย์ทุกกลุ่มอายุต่างต้องการที่จะได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่ และมีคนที่เข้าใจด้วยกันทั้งนั้น ความต้องการนี้ไม่ใช่ข้อยกเว้นในกลุ่มผู้สูงวัย และเนื่องจากบุคคลกลุ่มนี้มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมน้อยลง อาจทำให้มีการสร้างความผูกพันกับผู้ให้การบำบัดง่ายกว่าบุคคลในช่วงวัยอื่น ๆ ความผูกพันและไว้เนื้อเชื่อใจนี้เป็นดาบสองคม ที่อาจผลส่งดีต่อกระบวนการระหว่างการบำบัด และอาจเป็นผลร้ายที่คาดไม่ถึงเมื่อการบำบัดสิ้นสุดลง เช่นผู้สูงวัยอาจจะย้อนกลับมามีอาการซ้ำอีกเพื่อให้ได้พบกับผู้บำบัดคนเดิม ทั้งนี้ ผู้ให้การบำบัดควรตั้งปณิธานและข้อตกลงระหว่างผู้ให้การบำบัดและผู้เข้ารับการบำบัดที่ชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มให้การบำบัด และปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นอย่างเคร่งครัด ด้วยมาตรฐานตามวิชาชีพใน ฐานะผู้บำบัดของตน (Laidlaw & McAlpine, 2008)

 

 

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า CBT นั้นมีข้อดีต่อการบำบัดอาการซึมเศร้าในผู้สูงวัย ทั้งในแง่ประสิทธิผลและการไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงจากการใช้ยา อย่างไรก็ตาม การให้การบำบัดความคิดและพฤติกรรมในผู้สูงวัยนั้นมีความละเอียดอ่อนและเฉพาะเจาะจงหลายประการ ผู้บำบัดหรือบุคคลในครอบครัวของผู้สูงวัยจึงควรทำงานร่วมกันกับนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านพัฒนาการ ความคิด และพฤติกรรมผู้สูงวัย เพื่อพัฒนาโปรแกรมการบำบัดเกิดประสิทธิผลและเหมาะสมกับวัยของผู้เข้ารับการบำบัด

 

 

หนังสือแนะนำ

 

Beck, J. S. (2011). Cognitive behavior therapy: Basics and beyond. The Guilford Press.

 

Laidlaw, K., Thomposom, L. W., Dick-Siskin, L., & Gallagher-Thompson, D. (2003). Cognitive Behaviour Therapy with Older People. John Wiley & Sons.

 

สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต (2562). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 9.). สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

 

 

References

 

Depp, C., Harmeell, A., & Vahia, I. V. (2012). Successful Cognitive Aging. Current Topics Behavior Neuroscience, 10(November 2011), 35–50. https://doi.org/10.1007/7854

 

Huang, T. T., Liu, C. B., Tsai, Y. H., Chin, Y. F., & Wong, C. H. (2015). Physical fitness exercise versus cognitive behavior therapy on reducing the depressive symptoms among community-dwelling elderly adults: A randomized controlled trial. International journal of nursing studies, 52(10), 1542-1552. https://doi.org/10.1016/j.ijnurstu.2015.05.013

 

Koder, D. A., Brodaty, H., & Anstey, K. J. (1996). Cognitive therapy for depression in the elderly. International journal of geriatric psychiatry, 11(2), 97-107. https://doi.org/10.3109/09638237.2014.971143

 

Laidlaw, K., & McAlpine, S. (2008). Cognitive Behaviour Therapy: How is it Different with Older People? Journal of Rational-Emotive & Cognitive-Behavior Therapy, 25, 250-262. doi: 10.1007/s10942-008-0085-6

 

Laidlaw, K., Thomposom, L. W., Dick-Siskin, L., & Gallagher-Thompson, D. (2003). Cognitive Behaviour Therapy with Older People. John Wiley & Sons.

 

Mirowsky, J., & Ross, C. E. (1992). Age and depression. Journal of health and social behavior, 187-205. https://doi.org/10.2307/2137349

 

Simon, S. S., Cordás, T. A., & Bottino, C. M. (2015). Cognitive behavioral therapies in older adults with depression and cognitive deficits: a systematic review. International journal of geriatric psychiatry, 30(3), 223-233. https://doi.org/10.1002/gps.4239

 

World Health Organization. (2021, October). Ageing and Health. World Health Organization. Retrieved May 10, 2022, from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ageingand-health

 

 


 

 

บทความโดย

นุสบา สมพานิช นิสิตดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาจิตวิทยา แขนงวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ และอาจารย์ ดร.พจ ธรรมพีร
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University