เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา และคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคระจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี แห่งการสถาปนาคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา และคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคระจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 84 ปี แห่งการสถาปนาคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค (Adversity quotient: AQ) เป็นแนวคิดที่ถูกเผยแพร่ในปี 1997 โดย Paul Gordon Stoltz ผู้เขียนหนังสือ “Adversity Quotient: Turning Obstacles into Opportunities”
Stoltz ได้นิยาม AQ ไว้ว่า เป็นความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรคและความยากลำบาก หรือความฉลาดในการฝ่าวิกฤต สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส มองปัญหาเป็นเรื่องท้าทายในชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำนายการประสบความสำเร็จในชีวิต นอกเหนือจากความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
Stoltz (2000) พัฒนามาตรวัดความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค (Adversity Response Profile; ARP) แบ่งการวัดออกเป็น 4 มิติ (CO2RE) ดังนี้
หมายถึงความสามารถในการตระหนักรู้ว่าตนสามารถจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บุคคลที่มีลักษณะด้านนี้สูงเป็นบุคคลที่จะคิดเสมอว่าตนสามารถควบคุมสถานการณ์ในชีวิตได้ เชื่อว่าทุกปัญหามีทางแก้ไข มีความคิดเชิงรุกต่อปัญหา ไม่ย่อท้อ มีความหนักแน่น ไม่ลดละความตั้งใจ มีความกระฉับกระเฉงในการเผชิญปัญหาและพยายามหาทางออกอยู่เสมอ ส่วนบุคคลที่มีลักษณะด้านนี้ต่ำเป็นผู้รับรู้ว่าปัญหาอุปสรรคแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำลายความรู้สึกที่มีพลังอำนาจให้หมดไป เพิกเฉยและเย็นชาต่อปัญหา ไม่ดิ้นรน ไม่กระตือรือร้น
หมายถึง การวิเคราะห์ค้นหาสาเหตุของปัญหาว่าใครหรืออะไรคือสาเหตุ และตระหนักว่าเป็นความรับผิดชอบของตนมากน้อยเพียงใด เมื่อเป็นปัญหาของตนก็จะต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ไม่ผลักภาระรับผิดชอบไปให้คนอื่น พิจารณาปัญหาจากตนเองและปัจจัยภายนอก เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากความผิดพลาด ตำหนิหรือโทษตนเองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การเสียใจและสำนึก ซึ่งถือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพลังหากนำมาใช้อย่างเหมาะสม เพราะจะนำมาซึ่งการปรับปรุงแก้ไข (แต่หากตำหนิตนเองมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดการเสียขวัญและทำลายพลังงาน ความหวัง และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย)
หมายถึงการรับรู้ของบุคคลว่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นส่งผลหรือแผ่ขยายไปสู่ด้านอื่นของชีวิตมากน้อยเพียงใด ผู้ที่มีความสามารถด้านนี้สูงจะรับรู้ว่าอุปสรรคที่เกิดขึ้นส่งผลจำเพาะและจำกัด บุคคลจะแยกเรื่องเลวร้ายออกไปจากส่วนอื่นของชีวิต ทำให้สามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ มองว่าเรื่องร้ายๆ ไม่ใช่ความล้มเหลว ส่วนผู้ที่มีความสามารถด้านนี้ต่ำจะรับรู้ว่าอุปสรรคจะส่งผลแผ่ขยายไปครอบคลุมเรื่องต่างๆ ในชีวิต ขณะที่มองว่าสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่จำกัดและมีความจำเพาะ ไม่แผ่ขยายไปด้านอื่น
หมายถึง การรับรู้ว่าอุปสรรคและสาเหตุของอุปสรรคนั้นจะคงอยู่นานเพียงใด ผู้ที่มีด้านนี้สูงจะมองว่าความสำเร็จเป็นสิ่งที่คงอยู่นาน และมองว่าอุปสรรคและสาเหตุของอุปสรรคเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วคราว ไม่คิดว่าเกิดซ้ำอีก ส่งผลให้บุคคลมองโลกในแง่ดีขึ้น สามารถแก้ปัญหาโดยไม่ย่อท้อ ส่วนผู้ที่มีด้านนี้ต่ำจะรุ้สึกว่าอุปสรรคและสาเหตุของมันคงอยู่เป็นเวลานาน ส่วนเหตุการณ์ที่ดีนั้นก็มองว่าเป็นเรื่องชั่วคราว ทำให้บุคคลมีแนวโน้มที่จะไม่กระทำการใดๆ เพื่อแก้ปัญหาที่ตนมองว่าไม่มีทางแก้ไขได้
Stoltz เสนอว่าอุปสรรค ความยากลำบากและความทุกข์ในชีวิตของคนเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ
หนทางในการพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ในลักษณะที่เรียกว่า the LEAD Sequence คือ
บอกให้ตนเองรู้ว่าขณะนี้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคใดขึ้นกับตนเอง และต้องตอบสนองต่ออุปสรรคนั้นอย่างไร
สำรวจว่าสิ่งใดคือต้นตอและสาเหตุของอุปสรรคที่เกิดขึ้น ระบุให้ชัดเจนว่าตนเองต้องทำสิ่งใดที่เฉพาะเจาะจงลงไปเพื่อให้สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ตัดสินลงไปว่าสิ่งใดอยู่ในความรับผิดชอบ และสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบหรือการตัดสินใจของเรา
วิเคราะห์ให้เกิดความชัดเจน โดยการค้นหาหลักฐานหรือภาวะแวดล้อมมาสนับสนุนว่า สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมมีอะไรบ้าง อุปสรรคจะเข้ามาสู่ชีวิตอีกนานเท่าใด ทำอย่างไรจึงจะไม่ทำให้อุปสรรคหรือปัญหาอยู่ในชีวิตนานจนเกิดไป พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาด้วยศักยภาพของตนเอง
เลือกวิธีการและลงมือดำเนินการเพื่อให้อุปสรรคอยู่กับเราให้น้อยที่สุด ด้วยการหาข้อมูลที่จำเป็นและวิธีที่จะสามารถควบคุมไม่ให้อุปสรรคเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตเราเพิ่มเติม
ข้อมูลจากวิทยานิพนธ์
“ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค การมองโลกในแง่ดีกับความเครียดของนิสิตนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 3 และ 4” โดย ชลธิชา ศรีรุ่งเรือง, ณัฐเสฐ คมวงศ์วิวัฒน์ และ พันธุ์ทิพย์ เปาทอง (2554) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47186
“ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค การสนับสนุนทางสังคม กับความเครียดในนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6” โดย รัชนู วรรณา, สกุลรัตน์ แสงจันทร์ และ สิรินาถ ชวาลตันติพิพัทธ์ (2553) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47274
ภาพประกอบจาก http://www.josito.de/
วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 คณะจิตวิทยาจัดงานนำเสนอผลงานวิจัย Senior Project (Undergraduate Psychology Research Symposium 2024) ของนิสิตปริญญาตรีคณะจิตวิทยา ชั้นปีที่ 4 ทั้งภาคไทย และ JIPP ก่อนจบการศึกษา ณ โถงอเนกประสงค์ และ co working space ชั้น 3 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ
งานวิจัยนำเสนอมีทั้งสิ้น 48 ชิ้นงาน โดยจะมีการมอบรางวัลให้กับกลุ่มของนิสิตที่มี ผลงานดี 3 ลำดับแรก และรางวัล popular vote จากผู้ชมทั่วไปและนิสิต 2 รางวัล ซึ่งจะประกาศผลและมอบให้กับนิสิตในวันงานปัจฉิมนิเทศวันที่ 16 พฤษภาคม ด้วย
ภาพบรรยากาศงาน -> อัลบั้มภาพ
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
โรคซึมเศร้าเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพจิตที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ในกลุ่มผู้สูงวัย โดยความเสี่ยงของภาวะ นี้จะมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อบุคคลมีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป (World Health Organization, 2021) การบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม (cognitive-behavior therapy; CBT) ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาอาการป่วย ซึมเศร้า ข้อดีของวิธีนี้คือเป็นการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม จึงไม่มีการใช้ยาระงับอาการต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง และถูกกล่าวว่าดีกว่าแนวการบำบัดอื่น ๆ เช่น เทคนิคการผ่อนคลาย การบำบัดด้วยจิตวิเคราะห์ หรือแม้แต่การบำบัดด้วยการออกกำลังกาย (Huang et al., 2015)
การบำบัดด้วย CBT ในผู้สูงวัยนั้น มีขั้นตอนในการบำบัดที่เหมือนกับการบำบัดในผู้ป่วยกลุ่มวัยอื่น ๆ แต่เนื่องจากผู้สูงวัยเป็นบุคคลในช่วงวัยที่ผ่านประสบการณ์ที่หลากหลาย และมีความต้องการปรารถนาอันซับซ้อนแตกต่างจากกลุ่มวัยอื่น ๆ จึงมีข้อควรคำนึงถึงในการให้การบำบัดด้วย CBT กับกลุ่มผู้สูงวัย ดังนี้
ข้อแรก ความแตกต่างระหว่างวัย
ผู้ให้การบำบัดควรคำนึงถึงสภาพสังคม ความเชื่อ และแนวคิดที่ผู้สูงวัยถูกหล่อหลอมมา ว่ามีความแตกต่างจากคนอีกยุคสมัยหนึ่ง เช่น ผู้สูงวัยอาจจะไม่พูดหรือพูดเป็นนัยเกี่ยวกับปัญหาทางครอบครัวที่ตนเองประสบพบเจอ เนื่องจากเติบโตมาในสังคมที่ปลูกฝังว่าไม่ควรนำเรื่องครอบครัวไปพูดนอกบ้าน เมื่อมีความเข้าใจดังนี้แล้ว ผู้ให้การบำบัดจะประเมินความต้องการหรือนัยยะแฝงของผู้เข้ารับการบำบัดได้ดียิ่งขึ้น (Laidlaw et al., 2003; Laidlaw & McAlpine, 2008) นำไปสู่การหาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของผู้สูงวัยผ่านบุคคลรอบข้างเพิ่มเติมจากการสอบถามจากผู้สูงวัยโดยตรงเพียงอย่างเดียว
ข้อต่อมา บุคคลผู้มีอิทธิพลทางใจต่อผู้สูงวัย (เช่น ลูก หลาน เป็นต้น)
ในการบำบัดผู้สูงวัย บางครั้งผู้ให้การบำบัดต้องคำนึงถึงบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อผู้เข้ารับการบำบัด เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่าบุคคลดังกล่าวถือเป็นปัจจัยบ่งชี้หนึ่งถึงความสำเร็จของการบำบัด (Koder et al., 1996; Laidlaw & McAlpine, 2008) ไม่ว่าจะโดยการพูดคุยเกลี้ยกล่อมให้ผู้สูงวัยเข้ารับการบำบัดจนครบกระบวนการ หรือการติดตามสังเกตพฤติกรรมของผู้สูงอายุเมื่ออยู่ในบ้าน
ข้อที่สาม การสร้างเป้าหมายของการบำบัด
เนื่องจากผู้สูงวัยอาจเผชิญความท้าทายจากการเสื่อมถอยของระบบการคิดวิเคราะห์ และพัฒนาการทางสมอง ซึ่งเป็นภาวะปกติที่พบได้ทั่วไปเมื่อบุคคลมีอายุที่มากขึ้น ในการบำบัดอาจจะเริ่มต้นที่การสร้างเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สามารถวัดให้เห็นถึงความสำเร็จได้ชัด โดยเป้าหมายที่ตั้งในช่วงแรก ๆ ให้เน้นไปที่เป้าหมายเชิงพฤติกรรมมากกว่าเป้าหมายเชิงความคิด เพราะเป็นเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ ทั้งนี้ควรเน้นให้มีการเสริมแรงที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และควรกระตุ้นให้เกิดการทบทวนหรือกระทำซ้ำบ่อย ๆ เพื่อเป็นการเสริมสร้างการแปรความจำระยะสั้นให้เป็นความจำระยะยาว (Koder et al., 1996; Mirowsky & Ross, 1992)
ข้อสุดท้าย ความสามารถทางด้านจิตปัญญา (Cognition) ของผู้สูงวัย
เนื่องจากผู้สูงวัยมีการเสื่อมถอยของการทำงานของร่างกายและสมอง ซึ่งส่งผลต่อการคิดวิเคราะห์และอารมณ์ของผู้สูงวัย ผู้บำบัดจะต้องออกแบบ โปรแกรมการบำบัดโดยคำนึงถึงความสามารถด้านพัฒนาการของผู้เข้ารับการบำบัดควบคู่ไปด้วย เนื่องจากปัจจัยนี้เป็นตัวบ่งชี้ตัวหนึ่งถึงความสำเร็จของการบำบัด โดยมีงานวิจัยพบว่าหากผู้สูงวัยมีความบกพร่องด้านการคิดวิเคราะห์ การบำบัดด้วย CBT จะส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ มากกว่าการเปลี่ยนความคิดของผู้สูงวัย (Simon et al., 2015)
นอกจากนี้ในการบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรมควรมีการตระหนักถึงความท้าทายเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงวัย เช่น
ประการแรก “ความเชื่อ” ว่า ภาวะซึมเศร้าเป็นเรื่องปกติของพัฒนาการในผู้สูงวัย
ผู้สูงวัยที่มีความเชื่อดังกล่าว มักจะมีการรายงานถึงอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะนี้มากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยของ Mirowsky & Ross (1992) ระบุว่าผู้สูงวัยมักจะรายงานถึงอาการทั่วไป เช่น ปัญหาด้านการนอนหลับ หรือปัญหาด้านการมีสมาธิจดจ่อ ต่ำกว่าความเป็นจริง แต่จะรายงานถึงความคิดฆ่าตัวตายสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งหากผู้ให้การบำบัดไม่คำนึงถึงจุดนี้ อาจจะมีการตอบสนองต่ออาการบางข้อมากเกินพอดี โดยละเลยที่จะสังเกตและค้นหาปัญหาด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้ให้การบำบัดจะต้องให้การระมัดระวังในการประเมินความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายของผู้เข้ารับการบำบัดเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยต่อปัญหาอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่
ประการที่สอง “ความเชื่อ” ว่า ผู้สูงวัยไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้
ความเชื่อดังกล่าวอาจส่งผลให้ผู้ให้การ บำบัดมีความพยายามในการให้บริการน้อยลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะทำให้อัตราความสำเร็จของการบำบัดนั้นลดน้อยลงไปด้วย ปัจจุบันมีการศึกษามากมายที่ออกมายืนยันแล้วว่าผู้สูงวัยสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ และการทำงานของสมองในผู้สูงวัยก็สามารถถูกพัฒนาได้เช่นกัน (Depp et al., 2012; Laidlaw et al., 2003).
ประการที่สาม ความต้องการ ความรัก การดูแลเอาใจใส่ และคนที่เข้าใจ
มนุษย์ทุกกลุ่มอายุต่างต้องการที่จะได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่ และมีคนที่เข้าใจด้วยกันทั้งนั้น ความต้องการนี้ไม่ใช่ข้อยกเว้นในกลุ่มผู้สูงวัย และเนื่องจากบุคคลกลุ่มนี้มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมน้อยลง อาจทำให้มีการสร้างความผูกพันกับผู้ให้การบำบัดง่ายกว่าบุคคลในช่วงวัยอื่น ๆ ความผูกพันและไว้เนื้อเชื่อใจนี้เป็นดาบสองคม ที่อาจผลส่งดีต่อกระบวนการระหว่างการบำบัด และอาจเป็นผลร้ายที่คาดไม่ถึงเมื่อการบำบัดสิ้นสุดลง เช่นผู้สูงวัยอาจจะย้อนกลับมามีอาการซ้ำอีกเพื่อให้ได้พบกับผู้บำบัดคนเดิม ทั้งนี้ ผู้ให้การบำบัดควรตั้งปณิธานและข้อตกลงระหว่างผู้ให้การบำบัดและผู้เข้ารับการบำบัดที่ชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มให้การบำบัด และปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นอย่างเคร่งครัด ด้วยมาตรฐานตามวิชาชีพใน ฐานะผู้บำบัดของตน (Laidlaw & McAlpine, 2008)
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า CBT นั้นมีข้อดีต่อการบำบัดอาการซึมเศร้าในผู้สูงวัย ทั้งในแง่ประสิทธิผลและการไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงจากการใช้ยา อย่างไรก็ตาม การให้การบำบัดความคิดและพฤติกรรมในผู้สูงวัยนั้นมีความละเอียดอ่อนและเฉพาะเจาะจงหลายประการ ผู้บำบัดหรือบุคคลในครอบครัวของผู้สูงวัยจึงควรทำงานร่วมกันกับนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านพัฒนาการ ความคิด และพฤติกรรมผู้สูงวัย เพื่อพัฒนาโปรแกรมการบำบัดเกิดประสิทธิผลและเหมาะสมกับวัยของผู้เข้ารับการบำบัด
Beck, J. S. (2011). Cognitive behavior therapy: Basics and beyond. The Guilford Press.
Laidlaw, K., Thomposom, L. W., Dick-Siskin, L., & Gallagher-Thompson, D. (2003). Cognitive Behaviour Therapy with Older People. John Wiley & Sons.
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต (2562). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 9.). สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Depp, C., Harmeell, A., & Vahia, I. V. (2012). Successful Cognitive Aging. Current Topics Behavior Neuroscience, 10(November 2011), 35–50. https://doi.org/10.1007/7854
Huang, T. T., Liu, C. B., Tsai, Y. H., Chin, Y. F., & Wong, C. H. (2015). Physical fitness exercise versus cognitive behavior therapy on reducing the depressive symptoms among community-dwelling elderly adults: A randomized controlled trial. International journal of nursing studies, 52(10), 1542-1552. https://doi.org/10.1016/j.ijnurstu.2015.05.013
Koder, D. A., Brodaty, H., & Anstey, K. J. (1996). Cognitive therapy for depression in the elderly. International journal of geriatric psychiatry, 11(2), 97-107. https://doi.org/10.3109/09638237.2014.971143
Laidlaw, K., & McAlpine, S. (2008). Cognitive Behaviour Therapy: How is it Different with Older People? Journal of Rational-Emotive & Cognitive-Behavior Therapy, 25, 250-262. doi: 10.1007/s10942-008-0085-6
Laidlaw, K., Thomposom, L. W., Dick-Siskin, L., & Gallagher-Thompson, D. (2003). Cognitive Behaviour Therapy with Older People. John Wiley & Sons.
Mirowsky, J., & Ross, C. E. (1992). Age and depression. Journal of health and social behavior, 187-205. https://doi.org/10.2307/2137349
Simon, S. S., Cordás, T. A., & Bottino, C. M. (2015). Cognitive behavioral therapies in older adults with depression and cognitive deficits: a systematic review. International journal of geriatric psychiatry, 30(3), 223-233. https://doi.org/10.1002/gps.4239
World Health Organization. (2021, October). Ageing and Health. World Health Organization. Retrieved May 10, 2022, from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ageingand-health
บทความโดย
นุสบา สมพานิช นิสิตดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาจิตวิทยา แขนงวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ และอาจารย์ ดร.พจ ธรรมพีร
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University
เคยมั้ยคะ? เวลาคุณนั่งสนทนาอยู่กับเพื่อนหรือคนในครอบครัว แล้วรู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียว อีกฝ่ายไม่ตอบสนองใด ๆ เพราะมัวแต่กดเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา
แน่นอนค่ะว่าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์ในลักษณะนี้ คุณอาจรู้สึกไม่พึงพอใจ เหงา โดดเดี่ยว สงสัยในความสำคัญของคุณ ข้องใจในความสนิทสนมที่คุณมีต่ออีกฝ่าย หรือที่อีกฝ่ายมีต่อคุณ และถ้าคำตอบของคุณคือ ใช่! คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วล่ะก็ คุณไม่ได้ตัวคนเดียวหรอกค่ะ เพราะในยุคปัจจุบันที่โลกออนไลน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ผู้คนจำนวนมากต่างก็ค้นหาข้อมูล ติดต่อสื่อสาร แสวงหากำลังใจ และอื่น ๆ อีกมากมาย ผ่านโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนที่สุดแสนจะพกพาง่าย สะดวกสบาย และติดมือ! ทว่าสภาวะของการกดเล่นโทรศัพท์มือถือ จนไม่สนใจคนรอบข้าง หรือที่เรียกว่าPhubbing (ฟับบิ้ง) นี่เอง ที่สามารถบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของคุณกับผู้คนในชีวิตได้มากกว่าที่คุณคิด
Phubbing (ฟับบิ้ง) เป็นคำที่มาจากการผสมระหว่าง Phone และ Snubbing หมายถึงพฤติกรรมของการเบี่ยงเบนความสนใจจากบุคคลตรงหน้า ไปยังโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์โฟน แทนที่จะพูดคุยสนทนากับบุคคลที่พบเจอกันแบบเผชิญหน้าอยู่ (Pathak, 2013) ประหนึ่งว่า ฉันนั่งอยู่กับเธอ…แต่ใจเธอกลับลอยไปอยู่กับสมาร์ทโฟนได้ซะนี่! ผู้ที่แสดงพฤติกรรม Phubbing จึงมักสร้างความไม่สบายใจให้กับอีกฝ่าย ร้ายไปจนถึงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่ได้รับความเคารพ จนทำให้ความสัมพันธ์ที่มีเสียหายลงได้ (Abeele, Antheunis & Schouten, 2016) และบ่อยครั้ง ผู้ที่กระทำพฤติกรรมเหล่านี้แทบไม่รู้ตัว
คำถามคือ แล้วเหตุใดคนจึงแสดงพฤติกรรม Phubbing ออกมา ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่า โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มีความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเป็นพื้นฐาน (need to belong) และการที่บุคคลจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้นั้น คือการมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ (Baumeister & Leary, 2017) ดังนั้น บุคคลจึงมีความต้องการที่จะพูดคุย ติดต่อสื่อสาร และท่วงทันต่อข้อมูลต่าง ๆ ของบุคคลอื่นในกลุ่มของตน กอปรกับความเข้าถึงง่ายของอุปกรณ์สื่อสารในปัจจุบัน และการเกิดขึ้นของโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ทำให้บุคคลมีความต้องการที่จะใช้งานอย่างต่อเนื่อง และสำหรับบางคนอาจมีความต้องการใช้งานอยู่เกือบตลอดเวลา
งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า แนวโน้มที่บุคคลจะแสดงพฤติกรรม Phubbing มักขึ้นอยู่กับระดับการเสพติดโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน รวมไปถึงการเสพติดการใช้สื่อสังคมออนไลน์ กล่าวคือ ยิ่งบุคคลเสพติดการใช้โทรศัพท์มาก ก็ยิ่งมีแนวโน้มจะแสดงพฤติกรรม Phubbing มาก จนทำให้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด บุคคลก็จะให้ความสนใจแต่โทรศัพท์มือถือและช่องทางออนไลน์ที่ตัวเองชื่นชอบเพียงอย่างเดียว ยิ่งระบบการแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ถูกออกแบบมาเพื่อเรียกความสนใจจากบุคคลได้โดยง่าย (Al‐Saggaf & O’Donnell, 2019) ก็ยิ่งเร่งเร้าปฏิกิริยาการตอบสนอง
เป็นที่น่าสนใจว่า พฤติกรรม Phubbing มักเกิดขึ้นในกรณีที่บุคคลอยู่รวมกันเป็นกลุ่มแบบเผชิญหน้า ตั้งแต่สามคนขึ้นไป (Sun & Samp, 2021) ส่วนหนึ่งอาจเพราะเมื่อบุคคลอยู่รวมกันจำนวนมาก อาจคิดว่าบุคคลอื่นคงไม่ได้สังเกตหรือสนใจตนเองมากนัก จึงไม่น่าแปลกใจว่า เมื่อมีการนัดรวมตัวกันของกลุ่มคนจำนวนมาก ๆ เรามักสังเกตเห็นพฤติกรรม Phubbing ได้ง่ายมากขึ้น เช่น งานเลี้ยงรวมรุ่น หรืองานพบปะญาติสนิทมิตรสหายต่าง ๆ
ในฝั่งของผลเสียที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะต่อผู้ที่ถูกกระทำ หรือถูก Phubbing งานวิจัยทางจิตวิทยาก็พบว่า นอกเหนือจากความไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์แล้ว ผู้ที่ถูกกระทำอาจเกิดความรู้สึกโกรธ โมโห ต่อผู้กระทำ และอาจนำไปสู่จุดจบของความสัมพันธ์ได้ (Zhan, Shrestha, & Zhong, 2022) หากพฤติกรรม Phubbing เกิดขึ้นในบริบทของคู่รัก หรือความสัมพันธ์แบบโรแมนติก บุคคลที่ถูกกระทำอาจเกิดความสงสัยในขั้นแรก จนบานปลายและเกิดความรู้สึกหึงหวง หวาดระแวงต่อคู่ของตนที่แสดงพฤติกรรม Phubbing อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ความไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์ และตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ ในทำนองเดียวกัน หากเกิดขึ้นในบริบทของเพื่อน ก็เป็นไปได้ว่า เมื่อถูกเพื่อนแสดงพฤติกรรม Phubbing ใส่บ่อย ๆ บุคคลอาจตัดสินใจหลีกเลี่ยงที่จะสนทนา และลดระดับความสนิทสนมกับบุคคลนั้นลง
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า พฤติกรรม Phubbing นั้นก่อให้เกิดภัยมากกว่าประโยชน์ ดังนั้น จึงเป็นความสำคัญที่เราทุกคนควรหันมาช่วยกันหาแนวทางในการลดพฤติกรรมนี้ โดยอาจเริ่มต้นด้วยการเพิ่มความตระหนักและความสำคัญในการสื่อสารและการเชื่อมต่อกับคนรอบข้าง เช่น
ถึงบรรทัดนี้แล้ว ลองหันไปมองคนข้าง ๆ แล้ววางโทรศัพท์มือถือของคุณลงก็ดีนะคะ
Abeele, M. M. V., Antheunis, M. L., & Schouten, A. P. (2016). The effect of mobile messaging during a conversation on impression formation and interaction quality. Computers in Human Behavior, 62, 562-569. https://doi.org/10.1016/j.chb.2016.04.005
Al‐Saggaf, Y., & O’Donnell, S. B. (2019). Phubbing: Perceptions, reasons behind, predictors, and impacts. Human Behavior and Emerging Technologies, 1(2), 132-140. https://doi.org/10.1002/hbe2.137
Baumeister, R. F., & Leary, M. R. (2017). The need to belong: Desire for interpersonal attachments as a fundamental human motivation. Interpersonal development, 57-89. https://doi.org/10.1037/0033-2909.117.3.497
Pathak, S. (2013). McCann Melbourne made up a word to sell a print dictionary: New campaign for Macquarie birthed ’phubbing’. Retrieved from http://adage.com/article/news/mccann-melbourne-made-a-word-sell-a-dictionary.
Sun, J., & Samp, J. A. (2022). ‘Phubbing is happening to you’: examining predictors and effects of phubbing behaviour in friendships. Behaviour & Information Technology, 41(12), 2691-2704. https://doi.org/10.1080/0144929X.2021.1943711
Zhan, S., Shrestha, S., & Zhong, N. (2022). Romantic relationship satisfaction and phubbing: The role of loneliness and empathy. Frontiers in psychology, 13, 967339. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2022.967339
บทความโดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์
รองคณบดี และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม และอาจารย์ประจำแขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์
ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับประกาศนียบัตรและโล่รางวัล ในงานวันสถาปนาคณะ ประจำปี 2567
การนอนหลับเป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของสมอง ซึ่งเป็นส่วนควบคุมทุกระบบในร่างกายของมนุษย์ หากขาดการนอนหลับอย่างเพียงพอ สมองจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลกระทบต่อสมรรถภาพทางปัญญาและอารมณ์ของเรา ความสัมพันธ์ระหว่างการนอนหลับและการรู้คิดเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตวิทยาสมัยใหม่ การนอนหลับซึ่งเป็นความจำเป็นทางชีวภาพส่งผลต่อกระบวนการการรู้คิดหลายประการ รวมถึงความจำ การให้ความสนใจ และการทำงานของผู้บริหาร แบบแผนการนอนหลับทั้งที่ดีและแย่ มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ความทรงจำ และปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมของเรา
ในช่วงการนอนหลับจะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 90 นาที สมองจะผ่านรอบการนอนหลับ 4 ระยะ ได้แก่
เป็นช่วงที่เริ่มหลับ กล้ามเนื้อเริ่มผ่อนคลายและเคลื่อนไหวช้าลง เราอาจรู้สึกเหมือนกำลังจะหลับและตื่นขึ้นทันที
เป็นช่วงที่ร่างกายเข้าสู่การนอนหลับอย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หัวใจเต้นช้าลง และอุณหภูมิร่างกายลดลง การนอนหลับในช่วงนี้ช่วยให้ร่างกายพร้อมสำหรับการนอนหลับลึก
เป็นช่วงที่สมองทำงานช้าลง และเป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง เช่น ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
เป็นช่วงที่ดวงตาเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วแม้จะยังหลับตาอยู่ ความฝันต่างๆ จะเกิดขึ้นในช่วงนี้เนื่องจากสมองตื่นตัวมากขึ้นกว่าช่วงอื่นๆ การเต้นของหัวใจและการหายใจเร็วขึ้นใกล้เคียงกับขณะตื่น แต่กล้ามเนื้อจะขยับตัวไม่ได้ชั่วคราวเพื่อป้องกันการตอบสนองทางร่างกายขณะเกิดความฝัน
ภาพจาก https://www.sleepfoundation.org/sleep-calculator
การนอนหลับมีบทบาทสำคัญในการรวมข้อมูลใหม่เข้าสู่ความทรงจำระยะยาว ฮิปโปแคมปัสและนีโอคอร์เท็กซ์ทำงานร่วมกันในระหว่างการนอนหลับ โดยเฉพาะในช่วงระยะนอนหลับลึกและระยะหลับฝันเพื่อถ่ายโอนข้อมูลที่เรียนรู้ในระหว่างวันเข้าสู่การเก็บระยะยาว (Walker & Stickgold, 2004) ระยะนอนหลับลึก เป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเติบโต (growth hormones) ซ่อมแซมเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกัน เสริมสร้างพลังงาน และฟื้นฟูสุขภาพจากความเครียดในช่วงระหว่างวันที่ผ่านมา และเกี่ยวข้องกับกระบวนการนำความรู้ใหม่ ความทรงจำใหม่ มาเก็บให้เป็นความทรงจำถาวรในสมองเป็นความทรงจำระยะยาว (memory consolidation) ในขณะที่การนอนหลับฝันจะช่วยเสริมสร้างความจำระยะยาว โดยนำประสบการณ์ต่างๆ มาจัดระบบและบันทึกลงในสมองส่วนความจำระยะยาว (Diekelmann & Born, 2010) การนอนหลับที่เพียงพอช่วยให้เรารักษาและเรียกข้อมูลได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเรา
การนอนหลับยังส่งผลต่อการให้ความสนใจและโฟกัสอีกด้วย ซึ่งเป็นฟังก์ชันการรู้คิดที่สำคัญในการทำกิจกรรมประจำวัน การนอนที่เพียงพอช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งมีผลต่อการสังเกตและตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว นอกจากนี้การนอนหลับยังมีส่วนช่วยในการควบคุมอารมณ์และความเครียด ซึ่งสามารถลดความฟุ้งซ่านและทำให้เราสามารถให้ความสนใจ โฟกัสกับสิ่งต่างๆได้ง่ายมากยิ่งขึ้น (Banks et al., 2007) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการอดนอนแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถลดความตื่นตัว ความเร็วในการตอบสนอง และการให้ความสนใจที่ต่อเนื่องได้ (Lim & Dinges, 2010) การขาดการให้ความสนใจและโฟกัสส่งผลทำให้มีผลิตภาพ (productivity) ลดลง มีโอกาสที่จะตัดสินใจที่ผิดพลาดมากขึ้น และเสี่ยงในการทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น โดยเฉพาะในการทำงานที่เสี่ยงสูง เช่น การขับรถหรือการใช้เครื่องจักร
ดังนั้นหากเรานอนไม่พอจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง การอดนอนระยะสั้นส่งผลต่อการทำงานของการรู้คิดทันที เช่น การให้ความสนใจ ความจำ และความสามารถในการแก้ปัญหา การนอนไม่พอเพียงหนึ่งคืนสามารถนำไปสู่การขาดการรู้คิดที่คล้ายกับการเมาแอลกอฮอล์ ทำให้เวลาตอบสนอง ความสามารถในการเรียกคืนความจำ และการตัดสินใจลดลง แต่หากเป็นการขาดการนอนหลับเรื้อรังสามารถนำไปสู่การขาดการรู้คิดในระยะยาวได้ งานวิจัยเชื่อมโยงการอดนอนเป็นเวลานานกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคความเสื่อมประสาท เช่น อัลไซเมอร์ ซึ่งเกิดจากการสะสมของแผ่นเบต้าอะไมลอยด์ที่เพิ่มขึ้นจากการนอนหลับที่ไม่ปกติ ส่งผลทำให้สมองเสื่อมได้ มีปัญหาในการคิดวิเคราะห์ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ รวมถึงลดความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ (Ju et al., 2014) นอกจากนี้ การขาดการนอนหลับยังเกี่ยวข้องกับภาวะความเสี่ยงของโรคอื่น ๆ ทางกายภาพ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะซึมเศร้า เนื่องจากการขาดการนอนหลับส่งผลต่อการควบคุมระดับฮอร์โมนและกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ใหญ่ควรนอนหลับประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสมาธิจดจ่อ สร้างความทรงจำใหม่ ควบคุมอารมณ์ได้ดี และมีพลังงานเพียงพอสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน
Banks, S., & Dinges, D. F. (2007). Behavioral and physiological consequences of sleep restriction. Journal of clinical sleep medicine : JCSM : official publication of the American Academy of Sleep Medicine, 3(5), 519–528. https://doi.org/10.5664/jcsm.26918
Diekelmann, S., & Born, J. (2010). The memory function of sleep. Nature reviews. Neuroscience, 11(2), 114–126. https://doi.org/10.1038/nrn2762
Ju, Y. E., Lucey, B. P., & Holtzman, D. M. (2014). Sleep and Alzheimer disease pathology–a bidirectional relationship. Nature reviews. Neurology, 10(2), 115–119. https://doi.org/10.1038/nrneurol.2013.269
Lim, J., & Dinges, D. F. (2010). A meta-analysis of the impact of short-term sleep deprivation on cognitive variables. Psychological Bulletin, 136(3), 375–389. DOI: 10.1037/a0018883
บทความโดย
อาจารย์ ดร.พจ ธรรมพีร
ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาตรี นานาชาติ (JIPP) อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาปริชาน และอาจารย์ประจำแขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์
ความคาดหวังของพ่อแม่ (parental expectation) เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ได้รับการศึกษาในงานวิจัยทางจิตวิทยา จากงานวิจัยพบว่าความคาดหวังของพ่อแม่ก็เหมือนดาบสองคม พ่อแม่ที่ีตั้งความคาดหวังได้อย่างเหมาะสมตามความเป็นจริง มีความสัมพันธ์กับการประสบความสำเร็จในการเรียน และชีวิตของลูก แต่ความคาดหวังที่เกินความเป็นจริงกลับส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกได้
วันนี้ชวนผู้อ่านทุกท่านมาปรับ tune ความคาดหวังให้พอดี เพื่อพัฒนาการที่ดี และความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวกันค่ะ
ความคาดหวังของพ่อแม่ คือการตั้งเป้าหมายล่วงหน้าถึงชีวิตในด้านต่าง ๆ ของลูกในอนาคต
งานวิจัยพบว่าความคาดหวังของพ่อแม่จะกลายเป็นแรงผลักดันให้ลูกอยากที่จะเก่งขึ้น ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ตามที่พ่อแม่คาดหวัง เมื่อเขาทำได้ตามที่พ่อแม่คาดหวังก็เกิดเป็นความมั่นใจในตัวเองขึ้นมา เกิดเป็นวงจรที่ดี
แต่การที่พ่อแม่คาดหวังในสิ่งที่ยากเกินจะทำได้ แรงผลักดันนั้นก็จะกลายเป็นแรงกดดันที่ทับถมอยู่ในใจลูก ว่าเขาทำไม่ได้ตามที่พ่อแม่คาดหวัง ไม่เคยได้รับคำชม น้อยครั้งนักที่พ่อแม่จะรู้สึกพึงพอใจในตัวเขา ซึ่งความกดดันที่กดทับอยู่นี้อาจนำไปสู่การไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง วิตกกังวลเมื่อต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองและความวิตกกังวลเหล่านี้ ก็ยิ่งส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ของเขา และความสัมพันธ์ในครอบครัว เกิดเป็นวงจรที่ไม่ดี
มาถึงตรงนี้ผู้อ่านอาจจะมีคำถามว่า แล้วการไม่คาดหวัง หรือคาดหวังแค่น้อย ๆ จะดีกว่าไหม คำตอบคือ น่าจะดีกว่าความกดดัน และสุขภาพจิตที่เสียของลูกเมื่อพ่อแม่คาดหวังมากเกินไป แต่การที่พ่อแม่คาดหวังน้อยเกินกว่าความสามารถของเด็กก็เหมือนกับการเสียโอกาสที่ลูกจะได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มศักยภาพ หรือพูดง่าย ๆ ว่า “เสียดายของ”
ดังนั้นแล้วความคาดหวังของพ่อแม่ในเรื่องที่เหมาะสม ในระดับที่ถูกที่ควรจึงเป็นเรื่องสำคัญ ขอเปรียบว่าความคาดหวังของพ่อแม่เหมือนกับคาถาวิเศษที่มีส่วนสรรค์สร้างให้เด็กคนหนึ่งประสบความสำเร็จได้
ภาพจาก Canva
เมื่อพ่อแม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการแต่ละช่วงวัยก็จะสามารถตั้งความคาดหวัง และเตรียมความพร้อมตามพัฒนาการของลูกได้ บางอย่างที่ลูกยังทำไม่ได้ อาจเพราะยังไม่ถึงวัย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรอให้ถึงวัยก่อนแล้วค่อยส่งเสริม
เช่น เด็กเรียนรู้ภาษาจากสภาพแวดล้อม ถึงแม้ลูกอายุน้อยกว่า 1 ขวบจะยังพูดไม่ได้ และดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจภาษา แต่การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกพูดคุยสื่อสารได้จะนำไปสู่ความพยายามในการกระตุ้นภาษาของลูก โดยการการคุยกับลูกบ่อย ๆ โต้ตอบกับลูกเมื่อลูกส่งเสียงอ้อแอ้ อ่านนิทานให้ลูกฟังตั้งแต่แบเบาะ และเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พ่อแม่ที่เข้าใจพัฒนาการจะทราบว่า เพื่อนกลายมาเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตลูก นอกจากความคาดหวังเรื่องการเรียน พ่อแม่ควรคาดหวังให้ลูกคบเพื่อนที่ดี เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ได้ทำกิจกรรมและใช้เวลาร่วมกับเพื่อนตามความเหมาะสม ซึ่งพ่อแม่ที่มีความคาดหวังเช่นนี้ จะมีความใส่ใจเกี่ยวกับเพื่อนของลูก สนับสนุนให้ลูกและเพื่อนของลูกได้มีกิจกรรมที่เหมาะสมทำร่วมกัน ซึ่งจะส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการทางสังคมที่ดี พัฒนาพฤติกรรมที่เหมาะสมตามวัย รวมถึงช่วยให้วัยรุ่นพัฒนาอัตลักษณ์ของตัวเองที่ดีตามขั้นพัฒนาการด้วย
ปูทางไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ความคาดหวังย่อยนี้ให้เป็นสิ่งที่เด็กยังทำไม่ได้ แต่เกือบจะทำได้ และอย่าลืมชื่นชม สนับสนุน และให้กำลังใจในความพยายามและความสำเร็จของลูกในแต่ละขั้นย่อย ๆ เน้นใส่ใจไปที่ความพยายาม ความกัดฟันสู้ และการเรียนรู้ของลูก คาดหวังให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และทำได้ดีขึ้นในทุกวัน ไม่ควรเปรียบเทียบกับใคร แต่ให้เปรียบเทียบกับตัวลูกในเมื่อวาน
ไม่มีชีวิตใครจะโรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเวลา การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จเป็นเรื่องยาก และต้องอาศัยหลายปัจจัยในชีวิต ในหลายครั้งก็รวมถึงโชคด้วย ความผิดพลาดล้มเหลวล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ เมื่อผิดพลาดก็เรียนรู้ปรับปรุง พยายามใหม่ในครั้งต่อไป อย่างไรก็ตามไม่ควรฝืนชมเชยส่ง ๆ ถ้าหากยังทำได้ไม่ดี ไม่เต็มที่ แต่ควรสนับสนุนการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป
ความคาดหวังควรมีการปรับเปลี่ยนในขณะที่ลูกเติบโต ผ่านการแลกเปลี่ยนและรับฟังเพื่อให้เขาได้กำหนดความคาดหวังของตัวเอง โดยมีพ่อแม่เป็นกองเชียร์ และสนับสนุน นอกจากนี้โลกเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เคยดีและเหมาะสมในอดีต อาจไม่ได้ดีเท่าที่เคยในสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อพ่อแม่เปิดใจ เปิดรับแนวทางชีวิตใหม่ ๆ คุณพ่อคุณแม่จะสามารถสนับสนุนชีวิตของลูกได้อย่างเท่าทันโลก และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของลูก และครอบครัว
การคาดหวังสิ่งที่ดีแก่ตัวลูกอยู่เสมอเปรียบเสมือนพรวิเศษ เมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังที่ดี ปรับเปลี่ยนความคาดหวังให้เข้ากับตัวลูก และไม่หมดหวังในตัวลูก ลูกก็จะไม่หมดหวังในตัวเองเช่นกัน เมื่อไม่หมดหวัง การเรียนรู้พัฒนาตัวเองก็ยังดำเนินต่อไปได้
การตั้งความคาดหวังที่ความเหมาะสมจะช่วยในการวางแผนชีวิตที่ดีตลอดทุกขั้นพัฒนาการ และการปรับเปลี่ยนความคาดหวังให้เหมาะสมกับสถานการณ์จะช่วยให้สามารถวางใจได้ถูกที่ พัฒนาได้ถูกทาง ก้าวผ่านความผิดหวัง และปรับตัวได้ทันท่วงที
Liu, M., Zhang, T., Tang, N., Zhou, F., & Tian, Y. (2022). The Effect of Educational Expectations on Children’s Cognition and Depression. International journal of environmental research and public health, 19(21), 14070. https://doi.org/10.3390/ijerph192114070
Curran, T., & Hill, A. P. (2022). Young people’s perceptions of their parents’ expectations and criticism are increasing over time: Implications for perfectionism. Psychological bulletin, 148(1-2), 107–128. https://doi.org/10.1037/bul0000347
บทความโดย
อาจารย์ ดร.พิมพ์จุฑา นิมมาภิรัตน์
อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
โดยความร่วมมือระหว่างสำนักบริหารทรัพยากรมนุษย์และศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย จุฬาฯ (Life Di) ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและดูแลสุขภาพใจ ให้แก่บุคลากรชาวจุฬา โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายที่จะทำให้ทุกคนมาสนุกสนาน ผ่อนคลาย และได้ความรู้ในการดูแลใจทั้งตนเองและคนรอบข้างอย่างอัดแน่น กับกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่
เพื่อประเมินภาวะสุขภาพจิตของตนเอง และยังได้ความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพจิตจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพใจอีกด้วย มีทั้งหมด 2 หัวข้อ ได้แก่
– ประเมินความสุข (CU Happiness)
– ประเมินภาวะสุขภาพจิต (DASS Assessment)
รับสมัครหัวข้อละ 150 คน (สายวิชาการ 75 คน / สายปฏิบัติการ 75 คน) เท่านั้น
️เหมาะสำหรับบุคลากรทุกคน️
️เหมาะสำหรับบุคลากรที่โสดหรือคนที่กำลังมองหาความสัมพันธ์ดี ๆ️
️เหมาะสำหรับบุคลากรที่มีครอบครัว️
![]() |
![]() |
![]() |
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ น.ส.ธมลวรรณ สร้อยนาค (น้ำทิพย์)
โทร. 02-2180148
E-Mail: thamonwan.s@chula.ac.th
โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ | เวลาจัดอบรม | Application timeline | สถานะ |
แนวทางการบริการจัดการความหลากหลายในองค์กร สำหรับผู้ดูแลและจัดการทรัพยากรบุคคล (Diversity Management in Organizations for Human Resources) |
23 มีนาคม 2567 | กุมภาพันธ์ 2567 | อบรมเสร็จสิ้นแล้ว |
ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด (Theories of Counseling and Psychotherapy) |
8 มิถุนายน – 3 สิงหาคม 2567 |
เม.ย. 67 | ปิดรับสมัครแล้ว |
พื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการ ประจำปี 2567 | 17 – 28 มิถุนายน 2567 | เม.ย. – มิ.ย. 67 | ปิดรับสมัครแล้ว |
สถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยา ประจำปี 2567 | 1 – 15 กรกฎาคม 2567 | เม.ย. – มิ.ย. 67 | ปิดรับสมัครแล้ว |
พื้นฐานจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ประจำปี 2567 | 24 มิถุนายน – 25 กรกฎาคม 2567 |
พ.ค. – มิ.ย. 67 | ปิดรับสมัครแล้ว |
เทคนิคพื้นฐานการเจรจาต่อรอง รุ่นที่ 3 | 27 กรกฎาคม 2567 | พ.ค. – มิ.ย. 67 | เปิดรับสมัครอยู่ |
จิตวิทยาสำหรับประชาชนทั่วไป ประจำปี 2567 | พฤศจิกายน – ธันวาคม 2567 |
ตุลาคม 2567 | ยังไม่เปิดรับสมัคร |