News & Events

เทคนิค Door-in-the-face หรือ เธอปฏิเสธฉัน ในการโน้มน้าวใจแบบตัวต่อตัว

 

การโน้มน้าวใจแบบตัวต่อตัว เช่นการขอร้องให้คนอื่นทำตามความต้องการของเราจัดเป็นอิทธิพลจากคนสู่คนที่สำคัญอย่างมาก เพราะในชีวิตประจำวันหรือในการทำงาน เราอาจจำเป็นต้องให้ผู้อื่นทำตามความต้องการต่าง ๆ ของเรา เช่น ขอให้เขาช่วยทำงานแทน ขอให้เขายอมแลกวันหยุดกับเรา ขอยืมเงิน หรือแม้แต่การโน้มน้าวใจลูกค้า การทำความเข้าใจเทคนิคการโน้มน้าวใจระหว่างบุคคลจึงน่าจะเป็นประโยชน์ ไม่รวมถึงความจำเป็นที่เราควรรู้เท่าทันกลวิธีของผู้ไม่ปรารถนาดีที่อาจให้เทคนิคเหล่านี้เพื่อให้เรายินยอมทำตามเพื่อเอาประโยชน์จากเรา

 

ในการขอให้คนอื่นทำอะไรสักอย่างให้เรา ถ้าผู้ขอมีอำนาจหรือสถานภาพเหนือกว่าบุคคลเป้าหมายก็อาจใช้การกดดันหรือออกคำสั่งให้ทำก็ได้ แต่ถ้าผู้ขอมีอำนาจน้อยกว่าหรือพอ ๆ กับบุคคลเป้าหมาย จะมีวิธีขอร้องอย่างไรให้ได้ผล?

 

จิตวิทยาสังคมศึกษาเทคนิคต่าง ๆ เพื่อทำให้ผู้อื่นทำตามความต้องการของเรา เช่น เทคนิคได้คืบจะเอาศอก (Foot-in-the-door technique) เทคนิคเธอปฏิเสธฉันหรือ door in the face นี้กลับด้านกันกับเทคนิคได้คืบจะเอาศอกที่เริ่มจากขอน้อย-เขายอม-แล้วจึงขอมาก โดยเทคนิคเธอปฏิเสธฉันเริ่มจากการขอมาก-เขาปฎิเสธ-แล้วจึงขอน้อยลง ซึ่งมักจะทำให้ได้รับการยอมให้มากกว่าการขอน้อยไปเลยโดยไม่มีการขอมากนำไปก่อน จะเห็นว่าเทคนิคเธอปฏิเสธฉันมีกระบวนการ 2 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขออะไรบางอย่างจากบุคคลเป้าหมายที่มากเกินไปจนเขาต้องปฏิเสธ เช่น ขอให้เขาทำอะไรให้ ขอสิ่งของ ขอให้ยอมให้เรื่องใหญ่ๆ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่อาจยอมได้ เมื่อเขาปฏิเสธแล้วจึงขอขั้นที่ 2 คือการขออีกครั้งแบบขอน้อยลงกว่าครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ขอต้องการจริง ๆ ตั้งแต่แรก แต่ใช้การขอขั้นที่ 1 เป็นตัวทำให้การขอขั้นที่ 2 ประสบความสำเร็จง่ายขึ้นนั่นเอง

 

เช่น หากเรามีแผนจะใช้เทคนิคเธอปฏิเสธฉัน เพื่อขอยืมเงินเพื่อนจำนวน 2,000 บาท เราอาจทำได้โดย ขั้นที่ 1 – เอ่ยขอยืมเงินเพื่อน 10,000 บาท (โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่เขาจะยอมให้ได้ เขาจึงน่าจะปฏิเสธ) เมื่อเพื่อนบอกว่าให้ไม่ได้ เราจึงขอขั้นที่ 2 – ถ้าเช่นนั้นขอยืมแค่ 2,000 บาทก็ได้ ซึ่งมักจะได้ข่าวดีว่าเขาตกลง! คุ้นๆ ไหมคะ? หลายท่านเคยใช้วิธีนี้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ แต่ถ้าจะเรียกว่าใช้เทคนิคเธอปฏิเสธฉันหรือ door in the face แล้วละก็…ผู้ใช้จะต้องตั้งใจวางแผนไว้ทั้ง 2 ขั้นตั้งแต่แรก

 

งานวิจัยตั้งต้นของเทคนิคนี้ นำโดย ดร. รอเบิร์ต ชาลดินี (Dr. Robert Cialdini) นักจิตวิทยาสังคมผู้เชี่ยวชาญด้านการโน้มน้าวใจจาก Arizona State University ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1975 ผู้วิจัยได้ขอให้ผู้ร่วมการทดลองมาเป็นอาสาสมัครไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กจากสถานพินิจ สัก 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยระยะเวลานานขนาดนั้นก็ทำให้คนส่วนใหญ่ปฏิเสธคำขอทันที ผู้วิจัยจึงเสนอคำขอที่ 2 ที่เล็กลงโดยการขอให้ไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กขณะพาไปเที่ยวสวนสัตว์เพียง 1 วันแทน ผลปรากฏว่า มีมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบตกลง เมื่อเทียบกับผู้ร่วมการทดลองอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกขอให้ช่วยไปเป็นอาสาสมัครพี่เลี้ยงเด็กที่สวนสัตว์ 1 วันเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเพียงคำขอเดียว ที่มีเพียง 17 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบตกลง หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของกลุ่มแรกที่ถูกขอร้องด้วยเทคนิคเธอปฏิเสธฉันทั้ง 2 ขั้นตอน

 

 

ทำไมเทคนิคเธอปฏิเสธฉันจึงได้ผลดีกว่าการขอไปเลยในขั้นตอนเดียว?

 

เหตุผลก็อยู่ในชื่อเทคนิคเลยค่ะ การปฏิเสธใครสักคนเมื่อเขาขออะไรเราโดยเฉพาะเมื่อการขอนั้นมีเหตุผลที่ดีรองรับ (เช่น ขอให้เป็นอาสาสมัครช่วยเด็กในสถานพินิจ) ทำให้บุคคลเป้าหมาย:

 

  • ก. รู้สึกกดดันว่าต้องตอบแทนที่ผู้ขอลดความต้องการลงในขั้นที่ 2 นั่นคือเขายอมลดความต้องการลงแล้วนะ (เช่น ลดจากที่อยากยืมเงิน 10,000 บาท เหลือขอแค่ 2,000 บาท) ทำให้ตนควรจะยอมถอยบ้างเป็นการตอบแทน กลไกนี้งานวิจัยพบว่าเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เทคนิคนี้ประสบความสำเร็จ
  • ข. พยายามเลี่ยงจากการเป็นคนที่ไม่ช่วยเหลือ เพราะบรรทัดฐานโดยทั่วไปคือคนเราควรช่วยเหลือเมื่อมีคนขอ และการ (ถูกวางแผนให้ต้อง) ปฏิเสธคำขอร้องให้ช่วยในขั้นที่ 1 ทำให้บุคคลกลายเป็นคนที่ไม่ช่วยเหลือผู้อื่นซึ่งเป็นเรื่องที่ระคายเคืองทั้งจากการมองตัวเอง และการถูกมองจากผู้อื่น จึงทำให้ยินยอมตกลงกับคำขอขั้นที่ 2 ได้ง่ายขึ้นเพราะเป็นโอกาสให้บุคคลได้แก้ตัวและคืนการรับรู้ว่าตนเองได้ทำสิ่งที่เหมาะสมตามบรรทัดฐานของสังคม คือให้ความช่วยเหลือผู้อื่น (ดู Feeley, Anker, & Aloe, 2012) ที่น่าสนใจคือการมองว่าตนผิดจากบรรทัดฐานสังคมโดยไม่ช่วยเหลือ อาจทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกผิดหรือรู้สึกไม่ดีซึ่งอาจเป็นตัวช่วยผลักให้ตกลงกับคำขอขั้นที่ 2 ได้ง่ายขึ้นด้วย แต่หลักฐานการวิจัยเรื่องปัจจัยความรู้สึกนี้ยังไม่หนักแน่นนัก (เช่น Martinie, Bordas, & Gil, 2024)

 

 

ควรใช้เทคนิคเธอปฏิเสธฉันเมื่อไรดี?

 

เทคนิคนี้น่าได้ผลดีกับการขอให้บุคคลทำสิ่งที่ดี เพราะมักทำให้เกิดการรับรู้ว่า “ฉันควรให้ความช่วยเหลือ เพียงแต่ฉันไม่สามารถทำได้”จากการขอร้องขั้นที่ 1 ได้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ยอมตกลงในขั้นที่ 2 ได้ง่ายขึ้นเมื่อการร้องขอนั้นน้อยลงและบุคคลสามารถทำให้ได้ และเนื่องจากเทคนิคนี้อาศัย “การติดหนี้” จากข้อ ก. ข้างต้น ผู้ขอในขั้นที่ 2 จึงควรเป็นคนเดียวกันกับขั้นที่ 1 นอกจากนี้ “การถูกปฏิเสธ” ในขั้นที่ 1 นั้นเป็นกลไกสำคัญของเทคนิคนี้ จึงจำเป็นต้องสร้างให้เกิดขึ้นให้ได้ ส่วนเรื่องระยะเวลานั้น สามารถขอขั้นที่ 2 หลังจากขั้นที่ 1 ได้เลยเพื่อจะได้อาศัยประโยชน์จากความรู้สึกผิดจากขั้นที่ 1 ช่วยให้บุคคลยอมรับคำขอขั้นที่ 2 ได้ง่ายขึ้น แต่ข้อควรระวังก็คือเทคนิคนี้มีความเจ้าเล่ห์อยู่ เนื่องจากคำขอขั้นที่ 1 เป็นการขอเพื่อสร้างแรงกดดัน จึงควรระมัดระวังการใช้ เช่นในการเจรจาต่อรอง หากคู่เจรจาจับได้ว่าใช้เทคนิคนี้เพื่อเอาประโยชน์ อาจทำให้เกิดความไม่พอใจ เสียความไว้วางใจและไม่อยากร่วมงานด้วยอีกในอนาคต (Wong & Howard, 2018) เทคนิคนี้จึงอาจไม่เหมาะจะใช้กับคนใกล้ชิดที่เราต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ในระยะยาว

 

กว่า 45 ปีหลังจากเทคนิคนี้ได้ถูกนำเสนอ เป็นที่น่ายินดีว่าการวิจัยตั้งต้นของเทคนิคเธอปฏิเสธฉัน ของ Cialdini และคณะ (1975) ได้รับการทดสอบซ้ำ (replication) และพบประสิทธิภาพของเทคนิคนี้ตามที่รายงานไว้ (Genschow et. al., 2021) จึงทำให้เรามั่นใจได้มากขึ้นว่าเทคนิคนี้มีประสิทธิภาพ และไม่ขึ้นกับบริบททางเวลาหรือกลุ่มคน
อย่าลืมนำไปใช้เพื่อสร้างสิ่งที่ดีในสังคมกันนะคะ

 

 

รายการอ้างอิง

 

Cialdini, R. B., Vincent, J. E., Lewis, S. K., Catalan, J., Wheeler, D., & Darby, B. L. (1975). Reciprocal concessions procedure for inducing compliance: The door-in-the-face technique. Journal of Personality and Social Psychology, 31(2), 206-215.

 

Feeley, T. H., Anker, A. E., & Aloe, A. M. (2012). The door-in-the-face persuasive message strategy: A meta-analysis of the first 35 years. Communication Monographs, 79(3), 316-343. https://doi.org/10.1080/03637751.2012.697631

 

Genschow, O., Westfal, M., Crusius, J., Bartosch, L., Feikes, K. I., Pallasch, N., & Wozniak, M. (2021). Does social psychology persist over half a century? A direct replication of Cialdini et al.’s (1975) classic door-in-the-face technique. Journal of Personality and Social Psychology, 120(2), e1–e7. https://doi.org/10.1037/pspa0000261

 

Martinie, M.-A., Bordas, B. & Gil, S. (2024). Negative affect related to door-in-the-face strategy. Scandinavian Journal of Psychology, 65, 490–500.

 

Wong, R. S., & Howard, S. (2018). Think twice before using door-in-the-face tactics in repeated negotiation. International Journal of Conflict Management, 29(2), 167–188. https://doi.org/10.1108/ijcma-05-2017-0043

 

 


 

 

บทความโดย
ผศ. ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์
ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาฯ

 

เปิดรับสมัคร 50 องค์กร เพื่อเฟ้นหา 5 “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” Thai Mind Awards 2024

 

เปิดรับสมัคร 50 องค์กร เพื่อเฟ้นหา 5 “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” Thai Mind Awards 2024

เพื่อเป็นแบบอย่างและแนวทางให้แก่องค์กรอื่นๆ ในด้านการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตที่ดีให้แก่พนักงาน

 

 

 

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญชวนองค์กรในประเทศไทยทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เข้าร่วมสมัครเพื่อรับการคัดเลือกเป็น “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” Thai Mind Awards 2024 ชิงถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรในมิติที่โดดเด่น จำนวน 5 รางวัล พร้อมได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ขององค์กร ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ของคณะจิตวิทยา จุฬาฯ เพื่อเป็นแบบอย่างและแนวทางให้องค์กรอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างสุขภาวะทางจิตที่ดีให้แก่พนักงานต่อไป

 

หากองค์กรของคุณ มีโปรแกรมที่ส่งเสริมพนักงานในทุกมิติ หรือมิติใดมิติหนึ่งของ GRACE ได้แก่

 

  • G = Growth & Development – สนับสนุนด้านการเติบโตและพัฒนาการของพนักงาน
  • R = Recognition – สนับสนุนด้านการแสดงออกและการรับรู้ถึงความสามารถและความสำเร็จของพนักงาน
  • A = All for inclusion – สนับสนุนด้านการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของพนักงาน
  • C = Care for health & safety – สนับสนุนด้านการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน
  • E = work-life Enrichment – สนับสนุนความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

 

 

องค์กรที่สนใจ สามารถสนใจส่งข้อมูลเบื้องต้น มาเข้าร่วมโครงการ (Pre-registration) ได้ที่

https://chulapsychology.qualtrics.com/jfe/form/SV_4ScwSlhUJ8gXWp8

 

หรือ สมัครเข้าร่วมโครงการและส่งผลงานได้ที่

https://chulapsychology.qualtrics.com/jfe/form/SV_eDKHjhhzzZV1I2i

 

ตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 กันยายน 2567

 

 

ประกาศผลองค์กรผู้ชนะวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม E-mail : thaimindawards@chula.ac.th

 

 

งานแถลงข่าว การเปิดรับสมัครองค์กรเพื่อร่วมเข้าคัดเลือก “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” Thai Mind Awards

 

ภาพบรรยากาศงานแถลงข่าว การเปิดรับสมัครองค์กรเพื่อร่วมเข้าคัดเลือก “สุดยอดองค์กรสร้างเสริมสุขภาวะทางจิต” Thai Mind Awards โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.30 – 12.00 น. ณ CU Social Innovation Hub อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้ร่วมเสวนา
  • ศาสตราจารย์ ดร.คณพล จันทน์หอม ผู้รักษาการแทนรองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ดร. นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ รองโฆษกกระทรวงสาธารณสุข และผู้ร่วมก่อตั้ง TIMS : สถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต
  • ดร. ตฤณ ทิวิธารานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
  • อาจารย์ ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ และผู้ร่วมก่อตั้ง TIMS : สถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ และผู้รับผิดชอบโครงการ
ดำเนินรายการโดย
  • คุณนรินทร ชฎาภัทรวรโชติ Miss Thailand World 2019 และนักวิชาการด้านสุขภาพจิต TIMS

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รายละเอียดเพิ่มเติม

 

https://www.chula.ac.th/news/175806/

 

กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

 

วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยบุคลากรสายปฏิบัติการ เข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ (28 กรกฎาคม 2567) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดขึ้น
เริ่มจากพิธีถวายชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ณ บริเวณเสาธง หน้าหอประชุมจุฬาฯ โดยมี ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานในพิธี ต่อมาเป็นพิธีตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 73 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล ณ บริเวณรอบเสาธง หน้าหอประชุมจุฬาฯ

แสดงความยินดีเนื่องในโอกาส ครบรอบ 62 ปี แห่งการสถาปนาบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล รองคณบดีคณะจิตวิทยา และคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ไปร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาส ครบรอบ 62 ปี แห่งการสถาปนาบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (จามจุรี 10) ชั้น 20

 

 

 

 

กิจกรรม CHULA Mind people: ดูแลใจในสวน

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ PMCU จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะที่ดีเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

 

“CHULA Mind people: ดูแลใจในสวน”

วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 เวลา 12.00-18.00 น. ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กิจกรรมประกอบด้วย

 

 

 

Album ภาพ

 

การสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จ – Successful Aging

 

 

 

 

การประเมินการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จมี 2 รูปแบบ ดังนี้

 

  1. การประเมินแบบภววิสัย (Objective successful aging) คือ การใช้เกณฑ์จากทฤษฎีและงานวิจัยมาวิเคราะห์การสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จ ซึ่งอิงปัจจัยที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นสำคัญ (การคงไว้ซึ่งระบบร่างกายและสมองที่ทำงานได้อย่างปกติและการห่างไกลจากโรค) โดยเปรียบเทียบกันในกลุ่ม
  2.  การประเมินแบบอัตวิสัย (Subjective successful aging) คือ มุมมองจากตนเองว่ามีการรับรู้อย่างไรเกี่ยวกับการสูงวัยของตน มองเป็นการวัดแบบตอบข้อคำถามด้วยตนเอง (self-report)

 

การประเมินทั้งสองแบบมักมีส่วนที่ไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากการมองการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จแบบภววิสัยมักมีองค์ประกอบเรื่องภาพร่างกายที่แข็งแรง ห่างไกลจากโรคและภาวะทุพพลภาพ ขณะที่การมองการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จแบบอัตวิสัย ปัจจัยทางกายภาพไม่มีอิทธิพลมากนัก ซึ่งเกิดจากกระบวนการปรับตัวของบุคคลต่อสถานการณ์ที่ตนประสบ จนเกิดเป็นผลลัพธ์ที่บุคคลนั้นพึงพอใจ ทำให้มีแนวโน้มการประเมินองค์ประกอบด้านสุขภาพในทางบวกมากกว่า

 

ดังการศึกษาหลายงานที่เปรียบเทียบการประเมินการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จทั้งแบบภววิสัยและแบบอัตวิสัย ผลปรากฏว่า มีผู้สูงวัยจำนวนมากที่ประเมินว่าตนเองสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จ แม้ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินแบบภววิสัยหรือเกณฑ์เรื่องการไม่มีโรคและภาวะทุพพลภาพ

ในปี ค.ศ. 2008 Kanning และ Schlicht ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จที่ประกอบด้วยด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยมีความสุขเชิงอัตวิสัย (subjective well-being) เป็นเป้าหมายสำคัญ แนวคิดนี้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางกายของผู้สูงอายุเป็นหลัก เนื่องจากสามารถช่วยในเรื่องสุขภาพร่างกาย ระบบปัญญารู้คิด และสร้างเสริมความสุขเชิงอัตวิสัยในระหว่างทำกิจกรรมได้ และเชื่อว่าผู้สูงอายุสามารถกำหนดการมีความสุขเชิงอัตวิสัยด้วยตนเองได้ โดยตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับคุณค่าส่วนบุคคลหรือวัฒนธรรมของตนและไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ซึ่งความสัมพันธ์ของการตั้งเป้าหมาย การไล่ตามเป้าหมาย และความสุขเชิงอัตวิสัย ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลสามารถเติมเต็มความต้องการด้านจิตใจได้มากหรือน้อย ทั้งนี้การตั้งเป้าหมายเพื่อไปสู่ความสุขเชิงอัตวิสัยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางกายของผู้สูงอายุเองเท่านั้น ยังขึ้นอยู่กับการเตรียมการของแต่ละคน และข้อจำกัดของโครงสร้างทางสังคมอีกด้วย

 

การประเมินการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จในประเทศไทย ปี ค.ศ. 2013 สุทธิวรรณและคณะ ได้พัฒนาเครื่องมือวัดการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จโดยเน้นองค์ประกอบทางจิต เรียกว่า Successful Aging Inventory (SAI) โดยสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้สูงอายุชาวไทยที่สูงวัยอย่างประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ถึงองค์ประกอบของการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จและปัจจัยที่ช่วยส่งเสริม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ระบุว่า สติ (mindfulness) ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัว และการมีส่วนร่วมในสังคม เป็นปัจจัยสำคัญของการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จ

 

มาตรวัด SAI จึงประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ด้าน ได้แก่

  1. ด้านสุขภาพ – การห่างไกลจากโรค สามารถทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองได้
  2. ด้านจิตใจและอารมณ์ – การรู้สึกถึงคุณค่าของตนและรู้สึกมีพลัง มีความพึงพอใจในชีวิต
  3. ด้านมองและปัญญารู้คิด – การมีความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่และส่งต่อความรู้ไปยังคนรุ่นหลังได้
  4. ด้านสังคม – การตระหนักว่าตนเองมีความสำคัญต่อครอบครัวและเพื่อนฝูง สามารถพูดคุยเรื่องต่าง ๆ และแบ่งปันความรู้สึกได้
  5. ด้านปัญญาในการดำเนินชีวิต – การมีความรู้และยอมรับความจริงว่าไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน (เป็นด้านที่เพิ่มเข้ามาเรื่องจากเป็นลักษณะของผู้สูงอายุชาวไทย)

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

วิทยานิพนธ์เรื่อง

 

“ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการสูงวัยอย่างประสบความสำเร็จของผู้สูงอายุตอนต้นและผู้สูงอายุตอนกลาง ที่อาศัยในกรุงเทพมหานคร” โดย วิลาวัลย์ วาริชนันท์ (2562) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/69654

 

คณะจิตวิทยา จุฬาฯ จัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “รู้จัก…เข้าใจ…แก้ไข Cyberbullying”

 

วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “รู้จัก…เข้าใจ…แก้ไข Cyberbullying”

ณ ห้อง Learning auditorium อุทยานการเรียนรู้ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้า Central World

 

ในงานนี้ได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร ผู้รักษาการอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน

 

งานเสวนาในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในเรื่อง Cyberbullying และข้อคิดเห็นต่าง ๆ ให้บุคคลในสังคมได้เกิดความตระหนักรู้ถึงความร้ายแรงของการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ และแนวทางการลดพฤติกรรม รวมทั้งให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลจิตใจหลังจากถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ เพื่อเป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ

โดยได้รับเกียรติจากวิทยากร ได้แก่

 

  • คุณณัญช์ภัคร์ พูลสวัสดิ์ (คุณเต้ย) ผู้จัดการแผนก/บรรณาธิการ/โปรดิวเซอร์ รายการครอบครัวบันเทิง – เรื่องเล่าเช้านี้ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3
  • คุณกวิสรา สิงห์ปลอด (คุณมายยู) ศิลปินอิสระ และ Influencer
  • ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ หัวหน้าโครงการฯ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ และอาจารย์ประจำหลักสูตรจิตวิทยาการปรึกษา
  • ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ รองหัวหน้าโครงการฯ รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม

 

ดำเนินรายการโดย

  • คุณรวีโรจน์ เลิศพิภพเมธา (คุณวี) DJ คลื่น Eazy fm102.5

 

ชมภาพภายในงานเพิ่มเติมได้ที่
https://www.chula.ac.th/news/173163/

และ FB: Psychology CU

 

 


 

สื่อสาระความรู้จากโครงการ “Smarter Life by Psychology รู้จักเข้าใจ Cyberbullying” Faculty of Psychology, Chulalongkorn University
ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

 

โครงการ “Smarter Life by Psychology รู้จัก…เข้าใจ Cyberbullying”

 


 

 

 

 

 

 

 

 

ครบรอบ 67 ปี แห่งการสถาปนาคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ

 

ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาส ครบรอบ 67 ปี แห่งการสถาปนาคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2567 ณ โถงชั้น 2 อาคารพระมิ่งขวัญการศึกษาไทย คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ

 

ในโอกาสนี้ ได้ร่วมแสดงความยินดีกับ รศ. ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ราชบัณฑิต และคณบดีคนแรกของคณะจิตวิทยา ที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณปูชนียาจารย์แห่งคณะครุศาสตร์ ประจำปี 2567 ด้วย

 

 

 

 

 

การปฐมนิเทศนิสิตใหม่คณะจิตวิทยา ปีการศึกษา 2567

 

วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 คณะจิตวิทยาจัดกิจกรรมการปฐมนิเทศนิสิตใหม่คณะจิตวิทยา ระดับปริญญาตรี ประจำปีการศึกษา 2567 ทั้งภาคไทยและหลักสูตรนานาชาติ (JIPP) ณ ห้อง 801 ชั้น 8 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี 10)

 

ในงานนี้ คุณวุฒิ พูลสมบัติ Top management & principal at Mercer (Thailand) มาเป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายในหัวข้อ “การปรับตัวในการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย” อีกด้วย

 

 

 

ภาพบรรยากาศ