กลไกป้องกันตนเอง (Defense Mechanisms): พลังจิตใต้สำนึกที่ช่วยเรารับมือกับความทุกข์

06 Nov 2025

ผศ. ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช

 

ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต้องเผชิญกับความเครียด ความผิดหวัง หรือความรู้สึกผิดที่ยากจะยอมรับ จิตใจของเราจึงมีกลไกบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพื่อปกป้องตนเองจากความรู้สึกเหล่านั้น กลไกนี้เรียกว่า “กลไกป้องกันตนเอง” (Defense Mechanism) ซึ่งมีรากฐานมาจากแนวคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ผู้บุกเบิกจิตวิเคราะห์

 

ฟรอยด์เชื่อว่า กลไกป้องกันตนเองเกิดขึ้นในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อช่วยลดความวิตกกังวลที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง “อิด” (Id) ความต้องการตามสัญชาตญาณ, “อีโก้” (Ego) ตัวตนที่อยู่ในความเป็นจริง และ “ซุปเปอร์อีโก้” (Superego) ศีลธรรมและค่านิยมทางสังคม เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างสามส่วนนี้ จิตใจจะใช้ “กลไกป้องกัน” เพื่อรักษาสมดุลทางอารมณ์

 

 

แนวคิดพื้นฐาน

 

หนึ่งในแนวคิดสำคัญของจิตวิเคราะห์คือแนวคิดว่าเมื่อบุคคลประสบกับความขัดแย้งภายใน (internal conflict) หรือได้รับแรงกดดันจากภายนอก (external stressor) จนเกิดความวิตกกังวล (anxiety) จิตจะใช้กลไกบางอย่างที่เรียกว่า “กลไกการป้องกันตัวเอง” เพื่อช่วยให้สามารถดำรงตนอยู่ได้ โดยไม่ให้ความรู้สึก ความคิด หรือแรงขับที่ยุ่งยากไม่สบายใจ เข้าสู่จิตสำนึกจนเกินไป

 

Anna Freud ซึ่งเป็นลูกสาวของฟรอยด์ ได้ให้คำนิยามว่า กลไกการป้องกันตัวเองคือ “ทรัพยากรที่ไม่รู้ตัวซึ่งอีโก้ใช้เพื่อลดความตึงเครียดภายใน” โดยสรุปคือ กลไกเหล่านี้ช่วยให้บุคคลรับมือกับความรู้สึกที่ยากจะยอมรับได้ เช่น ความรู้สึกผิด ความรู้สึกเกลียดชัง หรือแรงขับที่ไม่เหมาะสมทางสังคม

 

 

ทำไมเราถึงใช้กลไกเหล่านี้

 

เมื่อบุคคลเผชิญกับความขัดแย้งภายใน เช่น ต้องการบางสิ่งแต่รู้สึกผิด หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ “แรงขับภายใน (id)” หรือ “มาตรฐานทางศีลธรรม (superego)” หรือ “โลกแห่งความเป็นจริง” มีข้อจำกัด อีโก้จึงต้องหาหนทางปกป้องจิตตนเองจากความวิตกกังวล ซึ่งบุคคลจะใช้กลไกการป้องกันตัวเองเข้ามาทำหน้าที่นี้ให้บุคคลลดความวิตกกังวล รู้สึกสบายใจชึ้น

 

นอกจากนี้ งานวิจัยสมัยใหม่ยังพบว่า การทำงานของกลไกเหล่านี้มีโครงสร้างเป็นลำดับชั้น (hierarchy) โดยกลไกระดับสูงคือที่มีการปรับตัวได้ดี และกลไกระดับต่ำคือที่อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือปัญหาทางจิตใจได้

 

 

ประเภทของกลไกที่พบบ่อย

 

แม้ว่าจะมีกลไกมากมาย แต่ขอหยิบยกตัวอย่างหลักที่พบบ่อยและมีการกล่าวถึงบ่อย ๆ ดังนี้:

 

  • Denial (การปฏิเสธ): การปฏิเสธยอมรับความจริง เพื่อไม่ให้ต้องรับรู้ความเจ็บปวด เช่น คนอาจไม่ยอมรับว่าแฟนผิด หรือว่าเขาเตรียมตัวสอบไม่ดี
  • Repression (การกดเก็บ): เป็นการลืมหรือไม่ยอมให้ความทรงจำหรือความรู้สึกที่เจ็บปวดเข้าสู่จิตสำนึก
  • Projection (การฉายภาพ, การโยนความผิด): การโยนความรู้สึกของตนเองที่ไม่ยอมรับ ไปยังผู้อื่น เช่น คนที่โกรธแต่ไม่ยอมรับว่าโกรธ อาจกล่าวว่าคนอื่นโกรธตนเอง
  • Displacement (การระบายออกทางอื่น): การโยกย้ายอารมณ์จากเป้าหมายที่อันตรายหรือไม่เหมาะสม ไปยังเป้าหมายที่ปลอดภัยกว่า เช่น โกรธเจ้านายกลับบ้านไปด่าแฟน
  • Rationalization (การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง): การหาเหตุผลที่ดูสมเหตุสมผล เพื่ออธิบายพฤติกรรมของตนเอง โดยไม่ยอมรับแรงขับภายในที่แท้จริง
  • Regression (การถอยกลับสู่พฤติกรรมก่อนหน้า): เมื่อเจอสถานการณ์กดดัน บุคคลอาจกลับไปใช้พฤติกรรมของเด็ก เช่น ร้องไห้ง่าย ติดของเล่น
  • Sublimation (การเปลี่ยนพลังลบเป็นสิ่งสร้างสรรค์): ถือเป็นกลไกระดับสูง คือการเปลี่ยนแรงขับที่อาจไม่เหมาะสม ให้เป็นกิจกรรมที่ยอมรับได้ เช่น เปลี่ยนความโกรธเป็นการเล่นกีฬา ศิลปะ
  • การระบุตัวตน (Identification): พยายามเลียนแบบบุคคลที่ชื่นชมเพื่อสร้างคุณค่าในตนเอง
  • การแยกส่วน (Isolation of affect): แยกอารมณ์ออกจากเหตุการณ์ เช่น เล่าเรื่องเจ็บปวดโดยไม่มีอารมณ์ร่วม

 

 

ผลดีและผลเสียของการใช้กลไก

 

การใช้กลไกการป้องกันตัวเองถือว่าเป็นเรื่องปกติและจำเป็นในชีวิต เพราะช่วยให้บุคคลผ่านช่วงเวลาที่ยากได้โดยไม่ล้มละลายทางอารมณ์

 

อย่างไรก็ตาม หากใช้บ่อยเกินไป หรือใช้กลไกระดับที่ไม่ปรับตัว (maladaptive) มากเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือความสัมพันธ์ที่มีปัญหา เช่น การใช้ “ปฏิเสธ” มากเกินไป อาจทำให้ไม่ยอมรับความจริงทั้งที่ควรจะจัดการได้ หรือใช้ “ฉายภาพหรือโยนความผิด” บ่อย ๆ อาจทำให้บุคคลไม่รับผิดชอบต่อตนเอง และมีปัญหากับผู้อื่น

 

 

ข้อเสนอแนะสำหรับการใช้ชีวิต

 

  • สังเกตพฤติกรรมของตัวเองว่า เมื่อเจอสถานการณ์กดดัน เราใช้กลไกอะไรบ้าง (เช่น ย้อนกลับไปใช้พฤติกรรมเดิม หรือ ระบายอารมณ์ไปที่คนอื่น)
  • ฝึกการระลึก (mindfulness) และเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก ให้มากขึ้น เพื่อที่จะลดการใช้กลไกที่ไม่ปรับตัวโดยไม่รู้ตัว
  • หากรู้สึกว่า “ใช้กลไกซ้ำ ๆ แล้วชีวิตไม่ได้พัฒนา” ให้พิจารณาการพบผู้เชี่ยวชาญทางจิตใจ

 

 

บทสรุป

 

กลไกป้องกันตนเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่เป็น “กลไกปกป้องจิตใจ” ที่ช่วยให้เราคงอยู่ในสังคมได้ แม้บางครั้งอาจทำให้เราไม่เผชิญกับความจริงโดยตรง การเรียนรู้ที่จะ “เห็น” กลไกเหล่านี้ทั้งในตนเองและผู้อื่น จึงเป็นก้าวแรกของความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในมนุษย์

 

 

 

อ้างอิง (References)

 

Cramer, P. (2015). Understanding defense mechanisms. American Journal of Psychiatry, 172(6), 530–539. https://doi.org/10.1176/appi.ajp.2015.15010024

 

Freud, A. (1936). The ego and the mechanisms of defense. International Universities Press.

 

Vaillant, G. E. (1992). Ego mechanisms of defense: A guide for clinicians and researchers. American Psychiatric Press.

 

 

 


 

 

 

บทความโดย

ผศ. ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม

 

Share this content